สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดทำ “โครงการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย” (Thailand Internet User Behavior) ซึ่งทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 (2556-ปัจจุบัน)
เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตของคนไทย ที่มีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในมิติต่างๆ เพื่อนำไปต่อยอดการกำหนดยุทธศาสตร์ ส่งเสริม และสนับสนุนการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ให้สามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากลและช่วยให้มีข้อมูลเพื่อใช้ในการดูแลประชาชนให้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่างสร้างสรรค์และมั่นคงปลอดภัยยิ่งขึ้น และเพื่อเป็นข้อมูลสนับสนุนการทำ Marketing และกลยุทธ์เชิงธุรกิจอื่น ๆ ของผู้ประกอบการ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้วย
คนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ต 70%
ETDA เผยผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2562 หรือ Thailand Internet User Behavior 2019 จากการสำรวจข้อมูลของประชาชนเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ต ประจำปี 2562 ผ่านทางออนไลน์ ช่วงเดือน ส.ค.- ต.ค. 2562 โดยมีคนไทยเข้ามาตอบแบบสอบถามกว่า 17,242 คน
โดยพบข้อมูลว่า ทศวรรษที่ผ่านมา คนไทยใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดกว่า 150% ส่งผลให้ปัจจุบันไทยมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 47.5 ล้านคน หรือราว 70% ของจำนวนประชาชนทั้งหมด โดยที่ เพศทางเลือกครองแชมป์ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด 11 ชั่วโมง 20 นาที รองลงมาคือ เพศชาย 10 ชั่วโมง 25 นาที และเพศหญิง 10 ชั่วโมง 17 นาที
ด้าน Generation พบว่า Gen Y (19-38 ปี) ยังคงครองแชมป์การใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดติดต่อกัน 5 ปีซ้อน โดยมีชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 10 ชั่วโมง 36 นาที รองลงมาได้แก่ Gen Z (ต่ำกว่า 19 ปี) อยู่ที่ 10 ชั่วโมง 35 นาที ส่วน Baby Boomer (55-73 ปี) อยู่ที่ 10 ชั่วโมง และ Gen X (39-54ปี) อยู่ที่ 9 ชั่วโมง 49 นาที ตามลำดับ
ประเด็นอาชีพ พบว่า ไม่ว่าอาชีพไหนก็ใช้อินเทอร์เน็ตแทบไม่ต่างกัน โดยนักเรียน/นักศึกษา ใช้อินเทอร์เน็ตสูงสุด อยู่ที่ 10 ชั่วโมง 50 นาที รองลงมาคือ พ่อบ้าน/แม่บ้าน 10 ชั่วโมง 38 นาที เจ้าของกิจการ/ประกอบธุรกิจส่วนตัว 10 ชั่วโมง 34 นาที คนว่างงาน/ไม่มีงานทำ 10 ชั่วโมง 32 นาที และอาชีพอิสระ/ฟรีแลนซ์ 10 ชั่วโมง 30 นาที ตามลำดับ
นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ใช้งงานจากทุๆ พื้นที่ มีชั่วโมงการใช้อินเทอร์เน็ตใกล้เคียงกัน ภาคเหนือมีจำนวนชั่วโมงการใช้อยู่ที่ 10 ชั่วโมง 31 นาที ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 10 ชั่วโมง 28 นาที ภาคกลาง 10 ชั่วโมง 19 นาทีกรุงเทพฯ 10 ชั่วโมง 19 นาที และภาคใต้ 10 ชั่วโมง 17 นาที ตามลำดับ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากนโยบายเน็ตประชารัฐที่คลอบคลุมพื้นที่แล้วกว่า 24,700 หมู่บ้าน และบริการ Free WI-FI ที่คลอบคลุมชุมชนกว่า 10,000 จุด ทำให้คนในทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึง
โซเชียลมีเดียเป็นหลัก ยังเป็นการใช้้งานหลัก
ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่กว่า 91.2% ใช้อินเทอร์เน็ตไปกับ Social Media (Facebook, Line, Instagram) ซึ่งถือเป็นกิจกรรมยอดฮิต 7 ปีซ้อน รองลงมาคือ ดูหนัง ฟังเพลง 71.2% ค้นหาข้อมูลออนไลน์ 70.7% รับ-ส่งอีเมล 62.5% และการชำระเงินค่าสินค้าและบริการทางออนไลน์ 60.6%
ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่การชำระเงินติด 1 ใน 5 ของกิจกรรมยอดฮิต สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ Online payment services ของไทยที่เพิ่มมากขึ้น
ขณะที่ กิจกรรมออนไลน์ที่กำลังมาแรงและมีการเติบโตเพิ่มขึ้นหากเทียบกับปี 2561 คือ การสั่งอาหารออนไลน์ ได้รับความนิยมมากสุด เพิ่มขึ้นจากปี 61 ถึง 15.1% รองลงมาคือ การชำระค่าสินค้าและบริการ ใช้บริการเพิ่ม 11.4% และการรับ-ส่งสินค้า/พัสดุ/เอกสารทางออนไลน์ เพิ่มขึ้น 11.0% ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาช่องทางออนไลน์ไหน ถูกใจคนซื้อ-ขายมากที่สุด พบว่า ช่องทางที่ผู้ซื้อเลือกใช้เพื่อซื้อสินค้ามากที่สุด คือ e-Marketplace ได้แก่ Shopee 75.6% รองลงมาคือ Lazada 65.5% และ Social Media ได้แก่ Facebook Fanpage 47.5% และ Line 38.9%
ต่างจากช่องทางที่ผู้ขายนิยมใช้ที่เพื่อขายของออนไลน์มากที่สุด คือ Facebook Fanpage 64.0% รองลงมาคือ Shopee 43.1% และ LINE 39.5% และยังพบว่า คนไทยนิยมใช้ LINE ติดต่อสื่อสาร 98.5% รองลงมาคือ Facebook Messenger, FaceTime และ WhatApp ตามลำดับ
โฆษณาออนไลน์ ปัญหากวนใจมากที่สุด
แม้จากการสำรวจจะพบ ปัญหากวนใจในการใช้อินเทอร์เน็ต มากสุดที่คือ โฆษณาออนไลน์รบกวนการใช้งาน 78.5% รองลงมาคือความล่าช้าในการเชื่อมต่อ 68.7% ปัญหาข้อมูลไม่น่าเชื่อถือ 35.8% แต่ผู้ตอบแบบสอบถาม 73.3% ยังคงเชื่อมั่นในความมั่นคงปลอดภัยในการใช้งานอินเทอร์เน็ต
ความเชื่อมั่นที่ค่อนข้างสูงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเอาใจใส่ในการเพิ่มมาตรการลดภัยคุกคามออนไลน์ต่างๆ เช่น จัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย หรือ Anti-Fake News Center ของกระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อลดปัญหาข่าวปลอม และการมีศูนย์รับเรื่องร้องเรี
สำหรับประเด็นร้อน Hot Issue ความรู้ความเข้าใจเรื่องดิจิทัลไอดีี ETDA พบว่า กิจกรรมการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่คนส่วนใหญ่รู้จักและเคยทำมาก่อนกว่า 91.6% คือการกรอก รหัส OTP รองลงมาคือ การสมัครใช้บริการออนไลน์ของเอกชน โดยให้ข้อมูลส่วนบุคคล 85.9% การเข้าใช้บริการออนไลน์ของภาคเอกชนด้วยรหัสผ่านที่ตั้งขึ้นมา 82.1%
โดยกิจกรรมที่นิยมสร้างบัญชีใหม่ เพื่อยืนยันการใช้บริการมากที่สุดคือ การต่อทะเบียนภาษีรถยนต์ออนไลน์ รองลงมาคือ การซื้อขายสินทรัพย์ออนไลน์ และการเรียนออนไลน์ ส่วนกิจกรรมที่นิยมใช้บัญชีเดิม (บัญชีใน Social Media, Internet Banking ฯลฯ) มากที่สุดคือ ใช้รถโดยสารออนไลน์ รองลงมา สั่งอาหารออนไลน์ และอ่านหนังสือทางออนไลน์
และเมื่อถามว่า ต้องการใช้บัญชีเดียวในการเข้าถึงทุกบริการออนไลน์หรือไม่ ส่วนใหญ่ 64.4% ตอบว่าต้องการใช้บัญชีเดียวเข้าถึงทุกบริการ 23.8% ตอบว่าไม่แน่ใจ และ 11.9% ตอบว่าไม่ต้องการ และประเด็นที่ผู้ตอบแบบสอบถามต้องการให้ภาครัฐดูแลมากที่สุด คือ ความมั่นคงปลอดภัย ป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล 61.4% การมีกฎหมายกำกับ ดูแลหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง 18.5% การรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ 11.2% และระบบที่สามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง 7.2% เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ ETDA ได้ทำไปแล้วในการวางมาตรฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลักดัน (1) พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 3 และ 4) พ.ศ. 2562 เพื่อรองรับสถานะทางกฎหมายของ Digital ID (2) มาตรฐานรองรับการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือตามกฎหมาย และ (3) อยู่ระหว่างการนำเสนอร่าง พ.ร.ฎ. ว่าด้วยการควบคุมดูแลการประกอบธุรกิจบริการเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. ….. และร่างประกาศสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวทางการเข้าร่วมโครงการทดสอบนวัตกรรมเกี่ยวกับระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล พ.ศ. …. (Digital ID Sandbox) เพื่อวางกฎเกณฑ์กำกับดูแลธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับ Digital ID ซึ่งจะสร้างระบบนิเวศของการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือต่อไป