ในปัจจุบันทุกวงการธุรกิจได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากในสถานการณ์แบบนี้ ธุรกิจการตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเจนซี่ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะมนุษย์ยังคงต้องใช้ชีวิตต่อไปเพียงแต่เปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตก็เท่านั้น โดยวันนี้ คุณเทพทัศน์ เทพทิพย์อำพร ผู้จัดการอาวุโสการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ ของ CastingAsia ประเทศไทย จะมาให้คำแนะนำสำหรับการเอาตัวรอดของเหล่าเอเจนซี่ในช่วงนี้
อย่างแรกเลยคือเราต้องเข้าใจและอ่านกลุ่มลูกค้าให้ออกว่าเวลานี้ พวกเขาต้องการรับเรื่องราวแบบไหน ดังนั้นถ้าจะถามว่า เอเจนซี่โดยเฉพาะธุรกิจที่ทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์นั้นมีผลกระทบหรือไม่? สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราปรับตัวยังไงมากกว่า ขอยกตัวอย่างแคมเปญที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงเวลาที่ผ่านมา แอปพลิเคชันสั่งอาหารชื่อดังที่เรานำทั้ง ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ และนาโนอินฟลูเอนเซอร์มาร่วมทำการโปรโมทแคมเปญ ในช่วงที่ผู้บริโภคกำลังต้องการสิ่งที่สื่อสารและเชื่อมโยงกับสถานการณ์ปัจจุบันสำหรับการสั่งอาหารมาที่บ้าน ดังนั้นเราจึงนำทัพด้วยกลุ่มไอคอนที่มีแฟนคลับหนาแน่น เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมกับแบรนด์พร้อมทั้งดึงแฟนคลับพร้อมด้วยข้อความครีเอทีฟส่งความเป็นห่วงถึงทุกคน พร้อมตบท้ายด้วยโปรโมชันที่จะสร้างยอดขายต่อไป ซึ่งสามารถสร้างตัวเลขได้ค่อนข้างสูงและน่าประทับใจ นี่ทำให้เห็นว่าแม้ว่าผู้คนจะใช้จ่ายน้อยลงโดยรวม แต่ถ้าหากเราหาโอกาสให้กับแบรนด์ได้ตรงจุดและเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ การโฆษณาจะไม่รู้สึกยัดเยียด แต่จะเป็นการมอบสิ่งดีๆให้กันมากกว่า รวมถึงกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการตกแต่งบ้าน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องครัวหรือการทำอาหารก็มีความต้องการค่อนข้างเยอะเช่นเดียวกัน
จากประสบการณ์ตรงที่ได้รับจากลูกค้าส่วนใหญ่ แน่นอนว่านักการตลาดทุกท่านมักพูดถึงเรื่องว่าข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ การใช้เทคโนโลยีแพลตฟอร์มเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้าได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจากอินฟลูเอนเซอร์ที่เราเลือกมาอย่างถูกต้องและแม่นยำ แต่ในยุคนี้ทางเราเองมักจะได้ความต้องการที่ลึกและเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ไม่แพ้ข้อมูลนั้นคือการวิเคราะห์และนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด และสิ่งที่อยากให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์รูปแบบใหม่ในอนาคต ที่เราจะไม่โฟกัสแค่ตัวเลขและข้อมูลในแนวนอนอย่างเดียว เช่น แมคโคร, ไมโคร หรือนาโนอินฟลูเอ็นเซอร์ แต่เราจะมองลึกขึ้นในแนวตั้งด้วยข้อมูลจากแพลตฟอร์มซึ่งสามารถจำแนกอินฟลูเอนเซอร์ออกมาได้หลากหลาย เพราะในตัวเลขที่เท่ากันของอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนนั้นจะส่งผลหรือสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างกัน เช่น
- ผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิด (Key Opinion Leader) คือกลุ่มที่มีพลังการสื่อสารในกลุ่มเฉพาะเจาะจงและรู้จริงในเรื่องนั้นๆ เช่น กลุ่มแพทย์ผิวหนัง, ยานยนต์, สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย
- ไอคอน (Icon) คือกลุ่มที่มีฐานแฟนเหนียวแน่น กลุ่มคนที่จะซื้อตามอาจจะเพราะอยากสนับสนุนคนที่เราชอบ หรือบางคนเห็นแล้วอยากจะเป็นแบบไอคอนคนนี้บ้าง เช่นกลุ่มดาราวัยรุ่นยุคใหม่ เป็นต้น
- Tribe Leader : คือกลุ่มคนที่มีพลังในการชักจูงคนในสังคมของตนเอง เปรียบเสมือนเป็นหัวหน้าทีมที่คนพร้อมจะเชื่อและคล้อยตาม เช่น Beauty Blogger หรือ Travel Blogger ต่างๆ
- Social Peer : คือกลุ่มคนที่เป็นตัวเชื่อมสังคมรอบตัวเราที่มีระดับเดียวกับเรา กลุ่มนี้จะสามารถสร้าง Social Norm และ Word-of-mouth ได้สูง ยกตัวอย่างเช่น กลุ่มในทวิตเตอร์ที่ไม่ว่าจะยอดผู้ติดตามเท่าไร แต่คนพร้อมจะซื้อตามถ้าหากมีคนพูดถึงแล้วสินค้าดีจริงๆ ดังนั้นการทำการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์ในอนาคตจะไม่ได้ชี้วัดกันที่ตัวเลขอย่างเดียว แต่จะส่งผลไปถึงว่าใครที่จะวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกและแม่นยำมากกว่ากัน
การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคนั้นคือกุญแจของการทำแคมเปญซึ่งหลายๆคนคงทราบว่าการทำงานกับอินฟลูเอนเซอร์นั้นไม่ใช่เรื่องยากและไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แต่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่สามารถเข้าใจผู้ที่มีอิทธิพลทางความคิด และหาทางใช้ประโยชน์จากออนไลน์และเราต้องตามโลกให้ทันในยุคดิจิทัลที่สถานการณ์บังคับอย่างเต็มตัว นอกจากนี้ขอยกตัวอย่างแพลตฟอร์มที่กำลังมาแรง ซึ่งทั้งแบรนด์และเหล่าอินฟลูเอนเซอร์กำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมากนั่นคือ TikTok ตอนนี้ มียอดดาวน์โหลดสูงสุดในประเทศไทยในเดือนมีนาคม ในช่วงที่ผู้คนต่างกักตัวอยู่บ้านและหากิจกรรมสนุกๆทำ ที่ทำให้เราวางมือถือไม่ได้สักที ทำให้แพลตฟอร์มนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ในมุมของอินฟลูเอนเซอร์นั้นจะสังเกตเห็นได้ว่าในแพลตฟอร์ม TikTok ตอนนี้จะไม่ใช่แค่กลุ่มเฉพาะอีกต่อไป ทั้งดาราและคนดังหลายๆ ท่านเริ่มหันมาใช้ TikTok ทำให้ผู้คนต่างหันมาสนใจมากขึ้นเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น คุณแพร วทานิกา, เบลล่า ราณี, พลอย หอวัง, ไบรท์-วิน, ซาร่า โฮเลอร์, แพรวา Nadao และอีกอื่นๆ อีกมากมาย (หากท่านรู้จัก เจน นุ่น โบว์ ซุปเปอร์วาเลนไทน์ คงจะทราบดีว่าคอนเทนต์เกิดการพูดถึงกันแบบปากต่อปากขนาดไหน) ในมุมของแบรนด์ นี่ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะเริ่มใช้ TikTok เป็นตัวกลางในการเชื่อมการมีส่วนร่วมกับแบรนด์และผู้ชมได้อย่างดีมากยิ่งขึ้น