หลังประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันยังไม่ลดลง นายกรัฐมนตรีใช้ยาแรงประกาศ “เคอร์ฟิว” ระหว่างเวลา 22.00 – 4.00 น. ทั่วประเทศ ยกเว้นมีเหตุจำเป็น เริ่มใช้ในวันพรุ่งนี้ (ศุกร์ 3 เม.ย.)
วันนี้ (2 เม.ย.) ช่วงเช้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. พบว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ต่อมาเวลา 18.08 น. วันนี้ นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ บังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เต็มรูปแบบ โดยออกข้อกำหนด “ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน” (Curfew) ระหว่างเวลา 22.00 – 4.00 น. ทั่วประเทศ
โดยยกเว้นแต่มีความจำเป็น หรือเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตทางการเกษตร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ หนังสือพิมพ์ การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง การขนส่งพัสดุภัณฑ์ การขนส่งสินค้าเพื่อการนำเข้าหรือส่งออก การขนย้ายประชาชนไปสู่ที่เอกเทศเพื่อกักกันตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ การเข้าออกเวรทำงานผลัดกลางคืนตามปกติ หรือเดินทางมาจากหรือไปยังท่าอากาศยาน โดยมีเอกสาร รับรองความจำเป็นหรือเอกสารเกี่ยวกับสินค้าหรือการเดินทาง
ผู้ใดฝ่าฝืนข้อนี้ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกาศเคอร์ฟิวนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย.2563 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
สรุปประเด็น นายกรัฐมนตรี แถลงมาตรการช่วยเหลือในสถานการณ์โควิด-19
– รณรงค์ให้คนไทยอยู่บ้าน เพื่อชาติ เว้นระยะห่างทางสังคม Social Distancing
– สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งเป็นหน่วยรบแนวหน้า ให้มีอุปกรณ์ใช้งานอย่างทั่วถึงในโรงพยาบาลทุกพื้นที่ ทั้งหน้ากากอนามัย อุปกรณ์การแพทย์ทุกชนิดให้มีใช้อย่างไม่ขาดแคลน โดยนายกฯ จะติดตามด้วยตัวเอง
– ยืนยันมียารักษาเพียงพอ และจะจัดหาให้เพียงพอ เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ในอนาคต มีความพร้อมด้านจำนวนเตียงรักษาผู้ป่วย ขยายเพิ่มได้ในโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้เชื่อมั่นว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19ทุกคนจะมียาและเตียงรักษาเพียงพอ
– ผู้ป่วยโควิด-19 ถือเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน มี 3 กองทุนดูแลค่าใช้จ่าย คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, กองรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
– จำกัดการเดินทางในพื้นที่เสี่ยง ด้วยการประกาศข้อกำหนด “ห้ามออกจากบ้าน” (Curfew) ทั่วประเทศในวันที่ 3 เม.ย.2563 เวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น. ประชาชนไม่ต้องกักตุนสินค้ายังเดินทางในเวลากลางวันได้ปกติ
– ตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากให้ประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการกักตุนสินค้า หรือฉวยโอกาส หาประโยชน์ และซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกันในยามนี้ โดยจะกำหนดโทษอย่างรุนแรงกับผู้กระทำผิด การกักตุนสินค้า มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท
– การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจะออกมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและลดภาระที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 สำหรับประชาชนทุกกลุ่มและผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ เช่น เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท 3 เดือน กลุ่มอาชีพอิสระและแรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา และลดค่าน้ำค่าไฟ 3 เดือน สำหรับทุกครัวเรือน
– พักชำระหนี้เงินต้น ดอกเบี้ย เงินผ่อนบ้าน รถ และลดอัตราขั้นต่ำการจ่ายหนี้บัตรเครดิต
– แรงงานในระบบประกันสังคมลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 1% ขยายเวลา 3 เดือน
– ผู้ประกอบการทั่วไป และ เอสเอ็มอี รัฐบาลจะช่วยเรื่องสภาพคล่อง บริหารหนี้ไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการภาษี และมาตรการการเงินอีกหลายมาตรการที่กำลังจะออกมา
– ด้านการสื่อสารในสถานการ์วิกฤติ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง และผู้ปฏิบัติงานไม่สับสน ศบค. ได้จัดระบบการสื่อสารที่เป็นเอกภาพ ไปในทิศทางเดียวกัน (Single Voice) จะแถลงข่าวสถานการณ์ทุกช่องทางเป็นประจำทุกวัน โดยโฆษกศูนย์ ศบค. เท่านั้น ให้งดเว้นการให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมายเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ของศูนย์ฯ
– ให้สื่อมวลชนทุกสำนักและสื่อโซเชียล ระมัดระวังการสื่อสาร โดยให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์ ศบค.เท่านั้น ห้ามการสื่อสารที่ก่อให้เกิดความชัดแย้ง บิดเบือนข้อมูล และสร้างข่าวปลอม (Fake News) และการส่งต่อข่าวปลอม หากมีผลต่อความมั่นคงจะมีความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
– ยืนยันว่าสถานการณ์โควิด-19 ขณะนี้ ประเทศไทยยังความคุมได้ จำกัดการแพร่ระบาดของโรคได้ ยังไม่สูงเหมือนประเทศที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก
– ขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศ ที่อดทนเสียสละ ในการดูแลประชาชน ถือเป็นบุคคลสำคัญในใจของนายกรัฐมนตรีและคนไทยทุกคน และขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะนำพาประเทศก้าวข้ามความยากลำบากนี้ไปให้ได้ อย่างมีสวัสดิภาพ ขอให้ทุกคนสู้ไปด้วยกัน ประเทศไทยต้องชนะ
– เป้าหมายของประเทศไทยคือการขจัดโรคไวรัสโควิด-19 ให้ได้โดยเร็วที่สุด และทุกคนปลอดภัย จึงต้องร่วมมือกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ โดยขอความร่วมมือกับประชาชนเพื่อทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงจนเป็นศูนย์ให้ได้ เพื่อทำให้ประเทศไทยชนะศึกครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน