ต้องยอมรับว่านิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ห่างไกลจากประเทศอื่นค่อนข้างมาก แต่สำหรับไวรัส Covid-19 แล้วไม่ถือว่าไกลเกินไป เพราะยังพบตัวเลขการติดเชื้อไวรัส Covid-19 ไม่ต่างจากหลายประเทศทั่วโลก ทว่าสิ่งที่ทำให้หลายคนต้องหันมาจับตามองนิวซีแลนด์ก็คือ การจัดการกับปัญหาภายใต้การนำของ “Jacinda Ardern” นายกรัฐมนตรีหญิงคนดังของประเทศ จนทำให้เมื่อวานนี้(27 เมษายน) ตามเวลาท้องถิ่นนิวซีแลนด์ ก็ประกาศชัยชนะกับวิกฤติโควิด-19 แล้ว
คำว่า “ชัยชนะ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงไม่มีผู้ป่วยใหม่ หรือผู้ป่วยเดิมเหลือเพียง 0 ราย หากแต่หมายความว่า ทางรัฐบาลรู้แล้วว่าผู้ป่วยแต่ละรายติดเชื้อมาได้อย่างไร ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นของประเทศ และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอทำให้ทั่วโลกหันมามองนิวซีแลนด์ในฐานะประเทศที่ควรศึกษาเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา ก่อนหน้านี้ ในเหตุกราดยิงที่เมืองไครสต์เชิร์ชเมื่อปี 2019 สิ่งที่นายกรัฐมนตรี Ardern ทำคือการออกแถลงการณ์ ซึ่งหนึ่งในเนื้อหาสำคัญก็คือการไม่เอ่ยถึงชื่อของผู้ก่อการร้าย สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกร่วม และยินดีที่จะปฏิบัติตามคำแถลงการณ์นั้นอย่างเต็มใจ
เช่นเดียวกับกรณีการจัดการกับไวรัส Covid-19 ที่นิวซีแลนด์มีวิธีปฏิบัติที่แตกต่างจากหลายประเทศทั่วโลกอย่างเห็นได้ชัด แถมยังสามารถจัดการกับไวรัสได้อย่างชะงัด ด้วยเหตุนี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การรับมือกับวิกฤติของ Jacinda Ardern เป็นสิ่งที่คนเป็นผู้นำควรศึกษาเป็นบทเรียนได้เลยทีเดียว ซึ่งสิ่งที่ทำลงไปนั้น มีดังต่อไปนี้
1. จัดการปัญหาก่อนที่มันจะขยายวง
สิ่งที่นายกรัฐมนตรี Ardern ประกาศต่อชาวนิวซีแลนด์ถึงการจัดการกับไวรัสนี้ชัดเจน และจริงจัง นั่นคือ “We go hard, we go early.” ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมืองกีวี่สั่งล็อคดาวน์ก่อนประเทศอื่นในโลกตะวันตกทั้งหมด รวมทั้งการเริ่มการเว้นวรรคระยะห่างทางสังคมด้วย
นอกจากนั้น หากสังเกตคำให้สัมภาษณ์ของเธอจะพบว่า เธอมองเห็นว่า หากควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสนี้ได้ จะช่วยลดผลกระทบต่อประเทศให้น้อยลงตามไปด้วย
2. “เข้าใจ” ประชาชน
ในตำราวิชา Crisis Management สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ประเทศก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้คือ คือการทำให้ประชาชนรู้สึกว่าผู้นำประเทศนั้น “เข้าใจ” พวกเขา ซึ่งนายกรัฐมนตรี Ardern สอบผ่าน ด้วยการอธิบายอย่างชัดเจนว่า โรคระบาดครั้งนี้จะกระทบกับชาวนิวซีแลนด์อย่างไร ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสื่อสารไปยังกลุ่มเด็ก ๆ ที่กำลังคิดถึงเทศกาลไข่อีสเตอร์ด้วยว่า อาจจะไม่สะดวกไปบ้าง เพราะทุกคนต้องกักตัว
3. มีความมั่นคง
ทุกครั้งที่มีการประกาศจากนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ถ้อยคำของเธอจะมีความ “ชัดเจน” และ “สอดคล้อง” ต่อเนื่องจากประกาศก่อนหน้านี้เสมอ เช่น เธอจะไม่ใช้คำพูดกำกวมว่าสามารถออกมาใช้สวนสาธารณะได้ไหม เธอไม่กลับไปกลับมาว่าจะล็อคดาวน์ 7 หรือ 14 วัน และ เธอไม่เปลี่ยนแผนไปมา ซึ่งทำให้ไม่เกิดความสับสนในหมู่ประชาชน
4. ไม่ดูเบาในสถานการณ์ที่อันตราย
นายกรัฐมนตรี Ardern ยอมรับมาตั้งแต่แรกว่าการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 จะกลายเป็น “ช่วงเวลาแห่งการจำกัดการเคลื่อนที่ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่” ซึ่งนำไปสู่การชี้แจงอย่างตรงไปตรงมากับประชาชนว่า “รัฐบาลจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะปกป้องพวกคุณ” และเตือนให้ประชาชนทำตามข้อแนะแนวการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
5. ทำตามแนวทางที่มีคนทำแล้วประสบความสำเร็จ
ผู้นำหลายประเทศทั่วโลกมีการพูดคุยหารือกันใหญ่โตว่าการตรวจหาเชื้อจากทุกคนอาจเป็นแนวทางที่ดีที่สุด อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติจริง ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา กลับเดินหน้าอย่างเชื่องช้าต่อมาตรการนี้ ตรงข้ามกับประเทศเกาหลีใต้และไต้หวัน
นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ตัดสินใจเลือกทำตามเกาหลีใต้และไต้หวัน ส่งผลให้นิวซีแลนด์มียอดผู้ติดเชื้อลดลงได้ภายใน 2 สัปดาห์นับจากเริ่มตรวจหาเชื้อซึ่งถือว่ารวดเร็วมาก
6. ทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง
แม้จะฟังดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ผู้นำของหลายประเทศกลับไม่สามารถทำได้อย่างที่ตนเองเคยกล่าวเตือนประชาชน ยกตัวอย่างเช่น มาตรการ Social Distancing ที่เรามักพบว่า ในการแถลงข่าวของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กลับเต็มไปด้วยผู้คน หรือกรณีของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ยังจัดงานแถลงข่าวขึ้นก่อนวันที่เขาต้องเข้าโรงพยาบาลเพียง 1 วันก็มีให้เห็นมาแล้ว
ส่วนนายกรัฐมนตรี Ardern เธอตัดสินใจปลดรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขทันที เหตุเพราะเขาฝ่าฝืนมาตรการ Social Distancing ของรัฐบาล ซึ่งเราอาจจะไม่เห็นภาพนี้ในประเทศอื่น ๆ มากนัก ส่วนตัวเธอเองก็สื่อสารกับประชาชน ผ่านทาง Facebook Live พร้อมรอยยิ้มจากที่บ้าน แสดงให้เห็นว่าเธอก็พยายามทำงานผ่านทางออนไลน์จากที่บ้านให้มากที่สุดเช่นกัน
https://www.facebook.com/jacindaardern/videos/147109069954329/
7. ทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ในการแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรี Ardern เมื่อกลางเดือนเมษายน สิ่งที่เราได้เห็นนอกจากรอยยิ้มและความเชื่อมั่น คือการบอกประชาชนให้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง นั่นคือ การบอกประชาชนว่า จงเป็นคนเข้มแข็งและมีเมตตากับคนอื่น ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำตัวโศกเศร้าเพื่อให้คนหันมาสนใจ ถ้าหากว่าคุณมีแผนรองรับที่ชัดเจน และสามารถมั่นใจได้แล้ว ก็เดินหน้าต่อไปได้เลย