หลังได้รับการแต่งตั้งจากคณะกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย (เคแบงก์) ให้ คุณกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รองประธานกรรมการ (อิสระ) ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รวมทั้ง คุณขัตติยา อินทรวิชัย ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ภายหลัง คุณบัณฑูร ล่ำซำ ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการและประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นมา
โดยล่าสุด สองผู้นำหญิงแกร่งแห่งเคแบงก์ คุณกอบกาญจน์ และ คุณขัตติยา ออกมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมประกาศวิสัยทัศน์ในการก้าวเข้ามาคุมบังเหียนและนำทั
ตั้งรับภาวะเศรษฐกิจไทยอ่อนแรง
คุณกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า สภาพเศรษฐกิจไทยปัจจุบันอยู่ในภาวะถดถอย อ่อนแอลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์การเติ
ทั้งนี้ การใช้จ่ายของภาครัฐที่จะเป็นปั
“ปัญหาคุณภาพสินเชื่อยังเป็นปัจจั
ส่วนบทบาทและหน้าที่
วิกฤติ แต่ไม่หนักเท่าต้มยำกุ้ง
ด้าน คุณขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันต้องยอมรับว่าเราอยู่ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย ภัยแล้ง หนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง การถูกดิสรัปชั่น รวมทั้งสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นความท้าทายที่กระทบไปทั่วทั้งโลกและในทุกอุตสาหกรรม แต่เคแบงก์เชื่อมั่นว่าจะสามารถฝ่าฟันไปได้อย่างแน่นอน เนื่องจาก การกำหนดแผนยุทธศาสตร์และทิ
- การส่งมอบบริการทางการเงินไปถึ
งลูกค้ารายรายเล็กให้ได้ทั่วถึ งมากยิ่งขึ้น โดยยังคงหลักระมัดระวั งและการบริหารความเสี่ยงที่ดี ซึ่งเป็นโจทย์ที่ควรเร่งทำเป็ นอันดับต้นเพราะจะมีส่วนช่ วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิ จของประเทศ เป็นโจทย์ของธนาคารทั้ งในฐานะคนทำธุรกิจและพลเมื องของประเทศ - การจัดการด้านต้นทุนและเพิ่
มประสิทธิภาพการทำงาน (Productivity management) ให้ส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการถึ งลูกค้าได้ดีขึ้น เร็วขึ้น และถูกลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่ งขัน ไม่ใช่แค่การทำตามระเบี ยบของทางการ ซึ่งหากมองในระดับประเทศแล้วต้ นทุนทางการเงินของธนาคารยังนั บว่าเป็นเพียงส่วนน้อยของต้นทุ นในระบบประเทศ ยังมีภาคส่วนอื่น ๆ ที่สามารถเพิ่ม Productivity ได้อีกมาก เพื่อให้แรงงานการผลิตมีค่ าผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสำคั ญให้ธุรกิจอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิ จนี้ - การจัดการด้านทรัพยากรบุคคล ที่ต้องมีการยกระดับทั
กษะความสามารถพนักงาน ให้พร้อมรับมือกับภาวะการเปลี่ ยนแปลงและเทคโนโลยีใหม่ ๆ
“ต้องยอมรับว่าวิกฤติครั้งนี้หนักมาก แต่เมื่อเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้งที่เคยผ่านมา ครั้งนี้ถือว่าดีกว่า เพราะเมื่อเทียบกัน ครั้งนี้อัตราแลกเปลี่ยนของเราลอยตัวแล้ว ภาระหนี้ต่างประเทศที่มีอยู่ก็ไม่สูงมาก ไม่มีการเก็งกำไรในหุ้นหรือภาคอสังหาริมทรัพย์มากเหมือนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง รวมทั้งมาตรการช่วยเหลือต่างๆ จากภาครัฐยังมีขึ้นอย่างรวดเร็ว ในส่วนของเคแบงก์เองจะเข้าไปดูแลเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ โดยเน้นการให้ความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วและทั่วถึงให้มากที่สุด”
ที่สำคัญ แม้จะเผชิญวิกฤติอย่างไร แต่เคแบงก์ยืนยันว่า ไม่มีนโยบายในการปลดพนักงานออกอย่างแน่นอน เพราะทรัพยากรคนเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตไปข้างหน้า รวมทั้งต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานและมีมาตรการที่ออกมาดูแลทั้งพนักงานและลูกค้าทุกคนให้ปลอดภัย โดยโจทย์เร่งด่วนสำคัญของเคแบงก์ในวันนี้ นอกเหนือจากแค่การนำพาธุรกิจให้รอดพ้น ยังต้องขับเคลื่อนประเทศไทย ประชาชน ลูกค้า รวมทั้งระบบการเงินการธนาคารของทั้งประเทศให้รอดพ้นผ่านไปด้วยกัน ในฐานะธนาคารหลักของทั้งประเทศไทยและในภูมิภาคด้วย
“สำหรับการขับเคลื่อนเคแบงก์ยังคงมองไปที่เป้าหมาย Empowering Every Customer’s Life and Business เพื่อเป็นพลังในการขับเคลื่อนความสำเร็จให้ลูกค้าทั้งในแง่ของการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ เพื่อสามารถเข้าใจลูกค้าและตอบโจทย์ความต้องการทั้งโจทย์ที่อยู่ในปัจจุบัน และการประเมินถึงสิ่งที่จะกลายเป็นโจทย์ในอนาคต เพื่อให้สามารถดักทางความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ทำให้เมื่อวิกฤติการณ์ทั้งหลายผ่านพ้นไปแล้วเราจะกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแรง หรือเมื่อหายไข้แล้วก็พร้อมที่จะกลับไปวิ่งได้ทันที“
เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เคแบงก์มองว่า โจทย์ที่ทางเคแบงก์กำลังเผชิญ เป็นสิ่งที่ทั้งโลกและทุกบริษัทต้องเจอ แต่ด้วยความแข็งแรงของกองทุนที่ธนาคารมีกลุ่ม Tier1 สูงถึง 16% รวมทั้งยังมีการติดตามภาระด้านสินเชื่อต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่ม NPL ที่เชื่อว่าอาจจะมีจำนวนเพิ่มสูงมากขึ้น แต่ยังอยู่ในจุดที่สามารถบริหารจัดการได้ ทำให้ฐานะของธนาคารยังคงแข็งแกร่งประกอบกับศักยภาพและความสามารถของพนักงานและทีมบริหารระดับสูงทุกคนที่คอยให้คำแนะนำและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ส่วนแผนการลงทุนต่างๆ ของเคแบงก์จากนี้ ยังให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ในการก้าวไปสู่การเป็นธนาคารภูมิภาค จากปัจจุบันที่สัดส่วนในต่างประเทศยังมีสัดส่วนไม่มากอยู่ที่เพียง 1 หลัก ซึ่ง 80% อยู่ในจีน แต่การขยายธุรกิจในภูมิภาคทั้งในอินโดนีเซีย ลาว กัมพูชา ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ธนาคารจะเดินหน้าต่อ
ส่วนการลงทุนอื่นๆ ยังมีการลงทุนผ่าน Venture Capital เพื่อลงทุนในสตาร์ทอัพต่างๆ ทั้งธุรกิจของคนไทย และในระดับโกลบอลหรือภูมิภาคโดยเฉพาะในกลุ่มที่สามารถเข้ามาเสริมศักยภาพในการทำธุรกิจให้กับลูกค้าได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เคแบงก์จะรักษาความเป็นผู้นำในดิจิทัลแบงกิ้ง ที่ไม่ใช่การโฟกัสอยู่แค่ในกลุ่ม Mobile Banking แต่จะพัฒนาศักยภาพในการให้บริการจากหลากหลายช่องทางที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น K PLUS บริการเอเยนต์แบ้งกิ้ง หรือบริการผ่านตู้เอทีเอ็ม โดยมี K PLUS เป็นศูนย์กลางที่จะช่วยให้ธนาคารสามารถเข้าใจความต้องการต่างๆ ของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยคาดว่าจะเพิ่มจำนวนฐานผู้ใช้งานในปีนี้ให้เติบโตได้ 24% จาก 12 ล้านบัญชี เป็น 15 ล้านบัญชี รวมทั้งการเติบโตของการทำธุรกรรมต่าง ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 37% โดยมีจำนวนรายการธุรกรรมทั้งสิ้นที่กว่า 11,600 Transaction รวมทั้งการพัฒนาด้าน Machine Learning รวมทั้งการนำ AI มาใช้ เพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง