ถึงตอนนี้เชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ในหลายประเทศเริ่มดีขึ้น แม้จะยังมีมาตรการในการล็อคดาวน์อยู่เป็นส่วนใหญ่ แต่เราก็เริ่มได้เห็นการผ่อนปรนทั้งจากมาตรการของรัฐ และการผ่อนปรนกันเองของประชาชนที่เริ่มงอแงอยากออกจากบ้านกันบ้างแล้ว ซึ่งไม่ใช่แค่คนไทย ต่างชาติก็มีพฤติกรรมการผ่อนปรนกันเอง และการเชื่อฟังที่ลดลงเช่นกัน
โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้หยิบ 5 ประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย บราซิล ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ มาเปรียบเทียบกันผ่านข้อมูลจาก Google Community Mobility Report ที่เก็บจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้ใช้งานทั่วโลกพบว่า ประชาชนในประเทศอย่างบราซิล และสิงคโปร์ ยังคงรักษาอัตราการอยู่บ้านไว้ได้ค่อนข้างดี ตรงกันข้ามกับประชาชนใน “สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย” ที่ออกแนวไม่เชื่อฟังคำสั่งรัฐบาล แต่กลับออกไปพักผ่อนหย่อนใจที่สวนสาธารณะ หรือไปทำงานเพิ่มขึ้น ส่วนญี่ปุ่นออกแนวกึ่ง ๆ นั่นคือ การไปทำงาน และการใช้รถสาธารณะลดลง แต่การเดินทางไป “สวนสาธารณะ” กลับเพิ่มขึ้น
โดยหากเจาะลงไปตามประเทศจะพบว่า ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา ในช่วงแรกของการล็อกดาวน์ พบว่าอัตราการเดินทางไปยังสถานที่ทำงานลดลง 56% แต่ในปลายเดือนเมษายน พบว่าตัวเลขดังกล่าวดีดกลับมาอยู่แค่ 48% เท่านั้น ซึ่งแปลว่า คนเริ่มออกมาเดินทางกันมากขึ้น
อีกหนึ่งประเทศอย่างออสเตรเลียก็ไม่ต่างกัน โดยในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน การเดินทางไปทำงานลดลงเกือบ 80% แต่ในปลายเดือนเมษายนพบว่าตัวเลขอยู่ที่ 40% หรือเท่ากับผู้คนเริ่มออกมาทำงานกันมากขึ้น
ส่วนประเทศสิงคโปร์ที่มีการประกาศล็อคดาวน์เมื่อวันที่ 7 เมษายนนั้น พบว่ากราฟมีทิศทางตรงกันข้าม นั่นคือในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนพบว่า การเดินทางไปยังสวนสาธารณะและสถานที่เพื่อความบันเทิงต่าง ๆ ลดลง 25% จากนั้นก็เขยิบไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นลดลง 70% ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายน (หรือแปลได้ว่าผู้คนกักตัวกันมากขึ้นสอดคล้องกับตัวเลขการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง) ในขณะที่การเดินทางไปยังสถานที่ทำงานลดลง 20% ในสัปดาห์แรกของเดือนเมษายนที่มีการประกาศล็อคดาวน์ และเพิ่มขึ้นเป็น 70% ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนเมษายนเช่นกัน
ในส่วนของบราซิลมีการประกาศล็อคดาวน์เป็นบางพื้นที่ และตั้งแต่เริ่มมีการระบาดภายในประเทศ อัตราการเดินทางไปยังบาร์ ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ต่างๆ ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในระหว่างเดือนพบว่ามีความพยายามของประชาชนจะออกไปข้างนอกปรากฏอยู่ประปราย แล้วก็กลับมากักตัวเหมือนเดิม จนกระทั่งในช่วงปลายเดือนที่พบว่า เริ่มมีการออกมาเดินทางกันมากขึ้นซึ่งทำให้รัฐบาลของบราซิลยังคงออกมาย้ำเตือนถึงมาตรการสำคัญต่าง ๆ ที่อยากให้ประชาชนดูแลและป้องกันตัวเองอย่างเข้มงวด
ญี่ปุ่นพบคนไปสวนสาธารณะมากขึ้น
ส่วนญี่ปุ่นมีการประกาศล็อคดาวน์ในวันที่ 7 เมษายน ซึ่งหลังการประกาศของผู้นำประเทศ พบว่าอัตราการเดินทางไปยังสถานที่ทำงาน และการใช้รถสาธารณะลดฮวบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่น่าสนใจตรงที่สวนสาธารณะต่าง ๆ ยังมีผู้คนเดินทางไปอยู่ดี (ไปชมซากุระก็ยอมรับมา) ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีรายงานถึงการตัดดอกทิวลิปทิ้งในญี่ปุ่นเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนเดินทางไปชมดอกไม้กันด้วย
Officials Sakura, #Japan mow tulip beds, cancel annual tulip festival to discourage people from congregating amid the #coronavirus crisis#SocialDistance #Covid_19
In Pics👉https://t.co/liH37Foi7a pic.twitter.com/h9LFbGpOCh— Moneycontrol (@moneycontrolcom) April 23, 2020
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาคาดว่าผู้คนจะเริ่มดื้อกันมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในซีกโลกเหนือ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า อากาศที่อุ่นขึ้นในตอนนี้ รวมถึงการผลิใบของต้นไม้ดอกไม้จะทำให้หลายคนเริ่มไม่อยากอยู่ในบ้าน ประกอบกับตัวเลขอัตราผู้ติดเชื้อที่ลดลง ทำให้ผู้คนเริ่มคาดหวังว่าสถานการณ์ในประเทศจะดีขึ้น และอยากให้รัฐบาลมีมาตรการผ่อนปรนการล็อคดาวน์โดยเร็วนั่นเอง
ส่วนกราฟของประเทศไทยเรานั้น พบว่ามาแนวเดียวกับสิงคโปร์และบราซิล นั่นคือประชาชนไม่ออกจากบ้านมาใช้สวนสาธารณะ รถสาธารณะ หรือเดินทางมาทำงานเท่าใดนัก หรืออีกนัยหนึ่งอาจเป็นเพราะอากาศบ้านเรานั้นร้อนมากจนไม่อยากออกไปไหนก็เป็นได้