HomeBrand Move !!“Section230” กฎหมายเบื้องหลัง ศึกทรัมป์ vs ทวิตเตอร์

“Section230” กฎหมายเบื้องหลัง ศึกทรัมป์ vs ทวิตเตอร์

แชร์ :

กลายเป็นศึกแค้นฝังหุ่นระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เขาใช้เป็นประจำอย่าง Twitter เมื่อมีรายงานว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการายนี้ตัดสินใจลงนามในคำสั่งพิเศษเพื่อคุมเข้มการกระทำของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกันแล้ว

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เหตุที่นำไปสู่ความบาดหมางครั้งนี้มาจากการที่ Twitter ใส่ข้อความแจ้งเตือนให้ผู้อ่าน “ตรวจสอบความถูกต้อง” หน้าทวีตของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 80 ล้านคนบนแพลตฟอร์มดังกล่าว พร้อมใส่ลิงค์ข้อมูลของ CNN เข้ามาเป็นข้อมูลประกอบ ซึ่งก็เป็นที่ทราบกันดีว่า CNN กับโดนัลด์ ทรัมป์นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมายาวนาน

ล่าสุด ทางประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงมีการลงนามในคำสั่งพิเศษ Executive Order on Preventing Online Censorship พร้อมอธิบายเหตุผลว่า ทำไมจึงไม่ควรยอมให้แพลตฟอร์มออนไลน์มาจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

โดยในคำสั่งดังกล่าว มีการอ้างถึงชื่อแพลตฟอร์ม Twitter มาเป็นอันดับแรก (ก่อนจะตามด้วย Facebook, Instagram, Youtube) พร้อมระบุว่า แพลตฟอร์มเหล่านี้ ในตอนแรกก็เกิดขึ้นมาภายในความเชื่อเรื่องการให้สิทธิเสรีภาพแก่ผู้คนในการแสดงความคิดเห็น แต่นานวันไป บริษัทเหล่านี้กลับมีอำนาจมากขึ้น และเข้ามาตัดสินคอนเทนต์ว่า อะไรที่ผู้บริโภคควรเห็น และอะไรที่ผู้บริโภคไม่ควรเห็นในที่สุด

“ในฐานะประธานาธิบดี ผมสัญญาว่า การดีเบทเป็นสิ่งที่สามารถทำได้โดยอิสระบนอินเทอร์เน็ต ไม่ต่างจากที่เราดีเบทกันในบ้าน โรงเรียน มหาวิทยาลัย ฯลฯ เพราะมันคือพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย”

ทรัมป์ยังกล่าวด้วยว่า ไม่เคยมีรายงานว่า Twitter วางเครื่องหมาย Fact-Checking หน้าทวีตของนักการเมืองคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่คนเหล่านั้นก็เคยทวีตข้อความที่นำไปสู่ความเข้าใจผิดเช่นกัน พร้อมกันนี้เขายังได้กล่าวถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ อย่างการรับเงินค่าโฆษณาจาก “รัฐบาลจีน” เพื่อแลกกับการเผยแพร่ข่าวที่ไม่ถูกต้อง เช่น การละเมิดสิทธิมนุษยชน (ชนกลุ่มน้อยอุยกูร์) การให้ข่าว Covid-19 หรือการประท้วงในเกาะฮ่องกงด้วย

โดยเขามองว่า อำนาจที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้มี อย่างการสามารถเซนเซอร์ ปรับแต่ง ซ่อน หรือเปลี่ยนแปลงข้อความ ได้ตามนโยบายของบริษัทนั้นคือสิ่งอันตราย และการเซ็นคำสั่งพิเศษดังกล่าวนี้จะช่วยให้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอยู่ในร่องในรอยมากขึ้น

เมื่อ Section 230 ไม่สามารถคุ้มภัย

สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในคำสั่งพิเศษของโดนัลด์ ทรัมป์ครั้งนี้ก็คือ การอ้างถึง Section 230(c) ซึ่งเป็นกฎหมายที่เคยให้อำนาจแพลตฟอร์มออนไลน์ในการปิดกั้นเนื้อหาที่มีความรุนแรงออกไปจากแพลตฟอร์มว่าไม่ต้องรับผิดในแง่ของการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการมองเห็น และให้สถานะแพลตฟอร์มเหล่านั้นเป็น Online Provider แทนที่จะเป็น Publisher

แต่ทรัมป์ชี้ว่า Section 230(c) นี้ไม่ได้ให้อำนาจแพลตฟอร์มเหล่านี้ให้เข้ามาควบคุม หรือเซนเซอร์เนื้อหาที่พวกเขาไม่เห็นด้วย หรือไม่ชอบ แต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้ การกระทำของ Twitter ที่มีต่อทวีตของโดนัลด์ ทรัมป์ จึงอาจทำให้ Twitter ไม่อยู่ในสถานะของ Online Provider ที่ Section 230 เคยให้ความคุ้มครองได้อีก แต่กลายเป็นสถานะของ Publisher และต้องรับผิดชอบต่อการเผยแพร่คอนเทนต์ไม่ต่างจากบรรณาธิการทั่วไปนั่นเอง

อย่างไรก็ดี ในมุมของผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายในสหรัฐอเมริกา บางส่วนมองว่านี่คือการข่มขู่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของประธานาธิบดี เหตุเพราะทรัมป์มีการลงนามในเอกสารฉบับนี้ในเวลาที่สั้นมาก (ไม่ถึง 48 ชั่วโมงหลังมีกรณีพิพาทกับ Twitter)

โดยในมุมของ Ron Wyden สมาชิกรัฐสภาซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการร่าง Section 230 ให้ทัศนะว่า การกระทำของโดนัลด์ ทรัมป์ด้วยการอ้างถึง Section 230 ในลักษณะดังกล่าว มีแต่จะทำให้คอนเทนต์บนโลกออนไลน์เต็มไปด้วยเรื่องผิดพลาด และอันตรายมากขึ้น

“การไม่ให้ Section 230 คุ้มครองแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ไม่ได้หมายความว่า Twitter ต้องแบกรับข้อความ หรือทวีตที่สร้างความเข้าใจผิดเอาไว้ แม้ข้อความเหล่านั้นจะมาจากประธานาธิบดีก็ตาม” Wyden กล่าว

Source

Source


แชร์ :

You may also like