ในวันที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกทะยานไปเกินหลักล้าน การแพร่ระบาดส่งผลกระทบโดยตรงกับการใช้ชีวิตประจำวัน จากมาตรการต่างๆ ตั้งแต่การล็อคดาวน์ประเทศ ไปจนกระทั่งการรณรงค์การรักษาระยะห่างของผู้คน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในรูปแบบการใช้ชีวิต การทำงาน และผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจทั้งระบบอีกด้วย โดยองค์การสหประชาชาติเรียกการระบาดครั้งนี้ว่าเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดในรอบ 75 ปี สำหรับในภาคธุรกิจ สิ่งนี้เป็นภาวะที่ไม่มีใครเคยคาดการณ์มาก่อน ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นการการล่มสลายในระดับติดจรวด ตั้งแต่การปลดพนักงานไปจนถึงปิดกิจการ และขณะนี้ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะจบลงเมื่อใด
และนับตั้งแต่กระทรวงสาธารณสุขของไทย ได้ประกาศว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 คนแรกในประเทศ เมื่อเกือบ 3 เดือนที่ผ่านมา เชลล์ ประเทศไทย ได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด ทั้งยังเตรียมความพร้อมสำหรับการรับมือกับวิกฤตในครั้งนี้ โดยหลักบริหารจัดการในช่วงวิกฤตโควิด-19 ของเชลล์ ประเทศไทย จะเน้นย้ำเรื่อง “ความปลอดภัย” ซึ่งอยู่ในวัฒนธรรมองค์กรของเชลล์ตลอดมา
คุณปนันท์ ประจวบเหมาะ ประธานกรรมการ บริษัท เชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด ยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมผู้บริหารและทีมพนักงานที่ดูแลรับผิดชอบ BCP (Business Continuity Plan) ของเชลล์ และพนักงานทั้งที่สำนักงานใหญ่ และไซต์งานต่างๆ พร้อมเดินหน้าปฏิบัติตามคำแนะนำของศูนย์สุขภาพของเชลล์ (Shell Health) และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคสังคม และภาคเอกชนต่างๆ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าทางธุรกิจที่เกี่ยวข้องทุกคนเป็นสำคัญ นอกจากนี้ เชลล์ ยังได้มีการวิเคราะห์กรณีศึกษาจากเชลล์ ประเทศจีน และประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาปรับใช้กับไทยทั้งในเชิงธุรกิจและการดูแลพนักงาน รวมไปถึงการสนับสนุนการทำงานจากบ้านสำหรับพนักงาน เพื่อให้การทำงานยังคงมีประสิทธิภาพเทียบเท่าการทำงานในสำนักงาน
“ด้วยความห่วงใย เชลล์ได้เตรียมมาตรการรอบด้านเพื่อดูแลเรื่องสุขอนามัย และความปลอดภัยของพนักงาน ลูกค้า ตลอดจนทุกคนที่เราเกี่ยวข้อง อย่างดีที่สุด ควบคู่ไปกับการทำหน้าที่ในบทบาทของผู้ที่รับผิดชอบในการส่งมอบพลังงาน และผลิตภัณฑ์ที่จำเป็น อาทิ น้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับรถบรรทุกและรถฉุกเฉิน น้ำมันหล่อลื่นสำหรับผู้ขับขี่ และธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงยางมะตอย เพื่อให้ภาคธุรกิจดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง และดีที่สุด ในทุกระยะของวิกฤตโควิดนี้ ด้วยเช่นกัน” คุณปนันท์กล่าว
สำหรับ 5 หลักบริหารจัดการในช่วงวิกฤตโควิด-19 ของเชลล์ ประเทศไทย ประกอบด้วย
1.ความปลอดภัยของทุกคนต้องมาอันดับหนึ่ง
“หลักสำคัญประการแรกคือ ทำอย่างไรให้ทุกคนปลอดภัยที่สุด” คุณปนันท์ กล่าวถึงแนวคิดการบริหารจัดการ เพื่อรับมือกับโรคระบาดโควิด-19 ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การบริหารดูแลองค์กรในสถานการณ์เช่นนี้ เชลล์ได้กำหนดแนวทางการดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างชัดเจน เช่น การทำงานจากบ้าน เพื่อลดการแพร่เชื้อ มีเพียงพนักงานบางคนในบางสายงานที่มีความจำเป็นต้องเข้ามาที่สำนักงาน ซึ่งพนักงานเหล่านี้จะได้รับอุปกรณ์เพื่อการดูแลสุขอนามัย รวมถึงปฎิบัติตามมาตรการ “การเว้นระยะห่าง” ในที่ทำงานอย่างเคร่งครัด สำหรับที่โรงงาน และคลังน้ำมัน ก็จะมีเพียงพนักงานบางคนที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงาน และจะต้องได้รับอนุญาตจากหัวหน้างานก่อนเท่านั้น หากพนักงานมีข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษา ก็สามารถติดต่อหัวหน้าส่วนโดยตรง หรือที่ศูนย์ช่วยเหลือสำหรับพนักงาน (Employee Assistance Helpline) ได้เช่นกัน”
- ลูกค้าคือคนสำคัญไม่ว่าในสถานการณ์ใด
เชลล์ ประเทศไทย ดำเนินธุรกิจภายใต้เจตนารมณ์ของบริษัท ในการ “เติมสุขให้ทุกชีวิต” เติมสุขในความหมายของเชลล์ คือการดำเนินธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งหวังทางการเงินเพียงอย่างดียว แต่เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนไทย และเพื่อสังคมไทยทั้งในปัจจุบันและอนาคต ในภาวะวิกฤตินี้ เชลล์ยังคงส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันหล่อลื่น และยางมะตอย เพื่อให้ลูกค้าได้ใช้งานอย่างต่อเนื่อง และสำหรับในส่วนที่ขาดแคลน ในระหว่างที่เราทุกคนกำลังเผชิญกับโรคโควิด – 19 นี้ เชลล์ ได้ยกระดับการดูแลรักษาความปลอดภัยและสุขอนามัย อาทิ การจัดเตรียมเจลล้างมือแอลกอฮอล์ให้กับลูกค้าในทุกสถานีบริการ ให้บริการแก่พนักงาน ลูกค้า และคู่ค้า เพื่อช่วยให้ทุกคนได้ดูแลสุขอนามัยตนเองเบื้องต้น สำหรับร้านสะดวกซื้อซีเล็คและร้านกาแฟเดลี่คาเฟ่ในสถานีบริการน้ำมัน เชลล์ ได้นำโต๊ะเก้าอี้ออก เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก โดยจะให้บริการเฉพาะแบบสั่งและนำกลับเท่านั้น
3.บริหารทรัพยากรให้สอดคล้องกับความต้องการของสังคม
การบริหารจัดการในภาวะโรคระบาดนี้ต้องการความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทีมเชลล์ ได้ประเมินและจัดสรรการบริหารจัดการด้านการบริจาคเงินออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะฉุกเฉิน ระยะฟื้นฟู และระยะกลับสู่ภาวะปกติ เชลล์ ประเทศไทย ร่วมบริจาคเงินให้กับมูลนิธิโรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อสนับสนุนเครื่องช่วยหายใจ (Extracorporeal Membrane Oxygenation – ECMO) รวมถึงอุปกรณ์จำเป็นเพื่อการรักษาและดูแลผู้ป่วยอื่นๆ เพื่อเตรียมรับมือการระบาดในระยะต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต
“สิ่งที่เราทำอยู่นี้ คือการบริหารจัดการเช่นเดียวกับภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบกับสังคมโดยรวม เราต้องระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือความต้องการของสังคม เพื่อให้ทราบว่า เราต้องบริหารจัดการทรัพยากร บุคลากร และงบประมาณของเราอย่างไร เพื่อให้ฝ่าฟันวิกฤตินี้ไปได้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ ด้วยความร่วมมือและความเข้าใจในสิ่งที่ผู้ได้รับความเดือดร้อน และภาคส่วนต่างๆ ต้องการ อย่างแท้จริง”
- เข้าใจในการเปลี่ยนแปลง ยืดหยุ่น และปรับเปลี่ยน
สถานการณ์โรคโควิด -19 นี้มีผลกระทบกับทุกคน ทั้งในภาคส่วนธุรกิจ ลูกค้า และคู่ค้าของเรา สิ่งสำคัญสำหรับการทำงานในสภาวการณ์เช่นนี้ คือ ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลง ความยืดหยุ่น และการปรับเปลี่ยนที่เหมาะสม เชลล์ มีการปรับเปลี่ยนการทำงานหลายอย่าง อาทิ การเปลี่ยนงบการสื่อสารการตลาดมาสนับสนุนการช่วยเหลือเร่งด่วนต่างๆ สำหรับงานที่ยังต้องการความต่อเนื่องเนื่องเป็นวาระหลักอย่าง “การเปลี่ยนผ่านพลังงาน” (Energy Transition) โครงการ Imagine The Future Scenarios Competition ก็ได้ถูกปรับเปลี่ยนไปอยู่บน แพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น
“เราต้องพยายามทำหน้าที่ของเราเพื่อส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องทุกคน ในทุกภารกิจที่เราทำ สิ่งสำคัญในภาวะเช่นนี้คือการปรับตัว ซึ่งเป็นความท้าทายในภาวะเร่งด่วน มีความซับซ้อน และไม่แน่นอน ผมขอบคุณความร่วมมือของพนักงานทุกคนที่ทำงานได้เป็นอย่างดีภายใต้ภาวะความท้าทายที่เพิ่มขึ้นนี้”
- รวมพลังสร้างความร่วมมือและปลอดภัยไปด้วยกัน
ทีมที่เข้มแข็ง คือจุดตั้งต้นของความสามารถในการรับมือกับสถานการณ์ที่วิกฤต เช่นเดียวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เชลล์เชื่อเสมอว่าพลังความเป็น “เรา” และพลังความร่วมมือจะช่วยแก้ปัญหา และสร้างความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในอนาคต
“เราภูมิใจที่งานของเรามีส่วนช่วยทุกคนที่เกี่ยวข้อง จากพนักงานของเรา คู่ค้า ลูกค้า ไปจนถึงทีมแพทย์ และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายในวิกฤตครั้งนี้ เชลล์ ขอขอบคุณคนไทย ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ ที่กำลังใช้ความพยายามอย่างมากในการรับมือกับการระบาด และวางใจให้เชลล์เป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้ แม้ในภาวะวิกฤต เราทำสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ให้ทุกคนผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันอย่างปลอดภัย”