ต้องบอกว่าเติบโต และทำเงินแซงหน้าแพลตฟอร์มจากโลกตะวันตกไปแล้วสำหรับสองพี่น้อง “TikTok – Douyin” หลังมีรายงานว่า ผู้ใช้งาน “จ่ายเงิน” ให้กับแพลตฟอร์มดังกล่าวเกือบร้อยล้านเหรียญสหรัฐในเดือนเมษายนที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ผู้ที่ออกมาเปิดเผยคือบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลอย่าง Sensor Tower ที่พบว่า มีการใช้จ่ายบนแอปพลิเคชันสองพี่น้องมากถึง 78 ล้านเหรียญในเดือนเมษายน ซึ่ง 86.6% มาจากผู้ใช้งานในจีนแผ่นดินใหญ่ ขณะที่อีก 8.2% มาจากสหรัฐอเมริกา
ขณะที่ YouTube นั้น ทาง Sensor Tower คาดการณ์ว่า บริษัทจะมีรายได้ราว 76 ล้านเหรียญสหรัฐในเดือนเมษายน แพ้ TikTok – Douyin ไปแบบฉิวเฉียด โดย 56.4% ของรายได้มาจากสหรัฐอเมริกา และอีก 11% มาจากญี่ปุ่น
ส่วนแอปฯอื่น ๆ ที่ทำเงินได้รองลงมาตามการคาดการณ์ของ Sensor Tower ก็เช่น Tinder, Disney+, Tencent Video, Netflix, Iqiyi, Bigo Live, Line Manga และ Google One
รายได้ที่แข็งแกร่งนี้ยังทำให้มูลค่าหุ้นของ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย โดยมีการคาดการณ์กันว่ามูลค่าปัจจุบันของ ByteDance นั้นอาจทะลุเกิน 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้วเรียบร้อย
นอกจากนั้น TikTok ยังได้รับการบันทึกชื่อว่าเป็นแอปพลิเคชันแบบ Non-Game ที่สามารถทำรายได้สูงสุดบน App Store ไปแล้ว ซึ่ง Sensor Tower คาดการณ์ด้วยว่า รายได้จาก TikTok และ Douyin รวมกันในปีหน้ามีโอกาสทะลุ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐด้วย โดยเฉพาะฟีเจอร์ที่ผู้เล่นสามารถให้ “ทิป” กับครีเอเตอร์ที่ทำคอนเทนต์ได้ถูกใจ
ขณะที่ eMarketer คาดการณ์ว่า TikTok อาจสามารถดึงดูดผู้เล่นชาวอเมริกันเข้าแพลตฟอร์มได้มากถึง 60.3 ล้านคนภายในปี 2024 ซึ่งการคาดการณ์นี้ทำให้แบรนด์จำนวนไม่น้อยเริ่มทำแคมเปญกับแบรนด์บน TikTok กันแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Chipotle, NFL, Ralph Lauren, Walmart, Warner Bros. ฯลฯ
อย่างไรก็ดี ตัวเลขคาดการณ์มูลค่าของ ByteDance นั้นเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ว่า TikTok จะยังสามารถดึงดูดนักโฆษณา และผู้ใช้งานให้ “จ่ายเงิน” ได้อย่างต่อเนื่องเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริงปฏิเสธไม่ได้ว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเริ่มมีการแบนการใช้แอปพลิเคชัน TikTok กันแล้ว เนื่องจากกังวลว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวจะลักลอบส่งข้อมูลกลับจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนความพยายามของ ByteDance ที่จะแก้เกมถูกแบนก็คือการเปลี่ยนตัวแม่ทัพเป็น Kevin Mayer จากดิสนีย์เพื่อหวังสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาด และรัฐบาลสหรัฐอเมริกานั่นเอง