Work from home กันมาเดือนกว่าแล้ว เชื่อว่าหลายคนอาจเริ่มคิดถึงออฟฟิศ และอยากให้ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพราะตอนนี้คนที่ Work from home ทั้งโลกกำลังประสบปัญหาเดียวกันนั่นคือเวลาส่วนตัวกับเวลางานแทบจะกลืนกันจนแยกไม่ออก บางคนต้องตั้งนาฬิกาปลุกตัวเองเพื่อให้ไม่ลืมกินข้าวในระหว่างวัน บางคนต้องรับมือกับลูกตัวน้อยพร้อม ๆ กับรับผิดชอบงานออฟฟิศไปพร้อม ๆ กัน และสำหรับหลายคน คืนวันหยุดอันแสนสนุกที่จะได้นอนดูซีรีส์หายไปกับการ Conference Call
ด้วยความที่เราสามารถทำงานได้โดยการลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปไม่ถึงสิบก้าว นั่นทำให้เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบไม่หยุดยั้ง รวมถึงการโทรศัพท์หรือส่งอีเมลในเวลาที่ไม่เหมาะสม ซึ่งสำหรับพนักงานบางคน คงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า พวกเขามีเวลาว่างน้อยลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่แม้จะต้องเดินทางหลายชั่วโมงไปทำงานที่ออฟฟิศนั่นเอง
ในสหรัฐอเมริกา คนทำงานของที่นั่นเริ่ม Work From Home ในช่วงเวลาใกล้กับบ้านเรา คือเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือนครึ่งแล้ว ผู้คนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักเกินไป มีความเครียด และเริ่มกระตือรือร้นที่อยากจะกลับเข้าออฟฟิศเหมือนเดิม เห็นได้จากข้อมูลของ NordVPN ผู้ให้บริการ VPN ในสหรัฐอเมริกาพบว่า พนักงานที่ทำงานแบบ Work From Home ทำงานมากกว่าปกติถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน ส่วนผู้ใช้ในฝรั่งเศส สเปน และสหราชอาณาจักร นั้นพบว่าทั้ง 3 ประเทศนี้ทำงานเพิ่มขึ้น 2 ชั่วโมงต่อวันเช่นกัน ส่วนประเทศอิตาลีไม่พบการเปลี่ยนแปลงในชั่วโมงการทำงาน
นอกจากนั้น พฤติกรรมการเข้าใช้งานในแต่ละวันก็เปลี่ยนไปเช่นกัน โดยเวลาที่ถูกตั้งให้ปลุกขึ้นมาทำงานขยับสายขึ้น แต่พบว่าเวลาที่อีเมลถูกส่งมากที่สุดกลายเป็น 9 โมงเช้า (อ้างอิงจากข้อมูลของ Superhuman) และยังมีข้อมูลว่าพนักงานจำนวนมากกลับเข้าสู่ระบบอีกครั้งในช่วงดึก โดยมีการเข้าใช้งานเพิ่มขึ้นในช่วงตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสามอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน
จากการสำรวจโดยการสอบถามแบบปากเปล่า หลายบริษัทก็ให้ข้อมูลยืนยันตรงกันว่าพนักงานของพวกเขาทำงานเพิ่มมากขึ้นอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง บางบริษัททำงานถึงวันละ 12 ชั่วโมงต่อวันจากที่เคยทำเพียง 9 ชั่วโมง นั่นเพราะเราสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์ได้รวดเร็วขึ้นและไม่จำเป็นต้องเดินทาง รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ ถูกยกเลิก เราไม่สามารถออกไปทานข้าวเย็นได้ ไม่สามารถไปออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้ เวลาที่ว่างขึ้นนั้นเลยนำไปสู่ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าเราจะไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นก็ตาม
อีกเหตุผลคือเราไม่มีทางหนีรอดไปไหนได้ เราไม่มีอะไรทำ และไม่มีข้ออ้างที่ตัวเองจะไม่พร้อมทำงาน (เช่นคุณไม่สามารถอ้างได้ว่าไม่ว่างเพราะออกไป Shopping ที่โน่นที่นี่ หรือติดธุระสำคัญข้างนอก) เพราะตามกฎคุณต้องอยู่บ้าน ทำให้ลูกค้าหรือเจ้านายรับทราบอยู่เสมอว่าคุณอยู่บ้านกับคอมพิวเตอร์ของคุณ นี่ก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนคิดถึงการกลับไปออฟฟิศ คิดถึงแม้กระทั่งช่วงเวลาการเดินทาง เพราะอย่างน้อยถึงเราจะติดแหง็กอยู่บนรถ แต่มันก็เป็นช่วงที่เราได้พักจากการทำงาน
หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขารู้สึกถูกกดดันจากหัวหน้าว่าต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่ากำลังทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเศรษฐกิจบีบบังคับให้หลายบริษัทต้องเผชิญกับการปลดพนักงานออก เหมือนเรายิ่งต้องสร้างภาพพจน์ให้ตัวเองเป็นคนขยัน พร้อมทำงาน และใจสู้ตลอดเวลา
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย ยังมีเรื่องดี ๆ อยู่เช่นกัน นั่นคือ หลายบริษัทพบว่าพนักงานของตนทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเมื่อทำจากที่บ้าน เห็นได้จากอัตรางานที่เสร็จสมบูรณ์เกิดขึ้นในระดับที่เท่ากัน หรือไม่ก็เสร็จก่อนกำหนดเมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่เกิดวิกฤติ
พวกเขาแชร์ข้อมูลว่าถ้าคุณปรับตัวในการทำงานที่บ้านให้เสมือนกับการทำงานที่ออฟฟิศได้จริง ๆ โดยที่ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป คุณจะรู้สึกว่าการทำงานที่บ้านมันก็ดีกว่าการทำงานที่ออฟฟิศจริง ๆ เพราะคุณจะฟุ้งซ่านน้อยลง จะไม่มีใครรบกวนคุณในการลุกไปทำนู่นทำนี่ ชวนคุย แบ่งขนมให้ หายไปดื่มกาแฟ หรือชวนไปสังสรรค์ รวมทั้งนอกจากหัวหน้าจะตามงานเราได้ง่ายขึ้นแล้ว เราก็ตามคอมเม้นต์จากลูกค้าได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
45% หมดไฟแล้วจ้า
แต่ในแง่ของสุขภาพจิต 45% ของคนทำงานในสหรัฐฯ กล่าวว่าพวกเขารู้สึกหมดไฟ จากการสำรวจคนทำงาน 1001 คนโดย Eagle hill consulting เกือบครึ่งหนึ่งบอกว่าสาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของภาระงานที่ต้องรับผิดชอบ, ความท้าทายในการใช้ชีวิตที่ต้องแยกระหว่างชีวิตส่วนตัวกับชีวิตการทำงาน, ไปจนถึงการขาดการสื่อสารและการสนับสนุนจากเพื่อนร่วมงาน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรมนุษย์กล่าวว่าการรักษาขวัญและกำลังใจของพนักงานนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากในช่วงที่เราต้องทำงานระยะไกลแบบนี้
ยิ่งกับพนักงานที่ต้องรับบทบาทเป็นคุณพ่อคุณแม่ไปพร้อมๆ กับการทำงานแล้วด้วยพวกเขายิ่งมีความเครียดมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก เพราะต้องแบ่งภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบทั้งในเรื่องของการทำงานและการดูแลลูก หลายคนให้สัมภาษณ์ว่าถ้าเขาละเลยงาน เขาก็รู้สึกผิดต่อหัวหน้า ถ้าละเลยลูกเขาก็รู้สึกผิดกับลูกของตัวเองไปอีก
บริษัทใหญ่หลายเจ้ารับรู้ถึงปัญหานี้ และพยายามหาทางแก้ไขเพื่อช่วยให้คนทำงานไม่หมดไฟกันเร็วเกินไป เช่นบริษัท Goldman Sachs Group เพิ่มวันลาสำหรับครอบครัว 10 วัน, Microsoft เสนอการลางานให้กับพนักงานที่เป็นพ่อแม่เพิ่ม 12 สัปดาห์, Starbuck ให้พนักงานเข้ารับการบำบัดได้ฟรี 20 ครั้ง และ Saleforce จัดคลาสทำสมาธิและออกกำลังกายเสมือนจริงให้แก่พนักงาน
มาถึงตอนนี้หลายคนน่าจะอยากให้ชีวิตกลับสู่สภาวะปกติ แต่ก็จะมีอีกหลายคนเช่นกันที่ติดใจการทำงานจากที่บ้านและทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามเราหวังว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติโดยเร็วและเมื่อถึงตอนนั้น หลายบริษัทน่าจะมีความยืดหยุ่นกับเวลาและสถานที่ในการทำงานมากขึ้น