จากวิกฤติไวรัส Covid-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก หนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างมากก็คือสิงคโปร์ โดยมีการประมาณตัวเลขจีดีพีของสิงคโปร์ในปีนี้ว่าอาจจะติดลบถึง 7% ซึ่งอาจนำไปสู่ตัวเลขคนตกงานที่เพิ่มขึ้นเป็น 200,000 คนภายในสิ้นปีนี้
Faizal Yahya นักวิจัยจาก Institute of Policy Studies ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า โรคระบาดครั้งนี้ถือเป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัติในทุก ๆ ด้าน รวมถึงโลกการทำงานที่เปลี่ยนมาเจาะพื้นที่บนโลกออนไลน์ เก็บดาต้าลูกค้า และใช้ดาต้าเหล่านั้นในการทำการตลาดสินค้าหรือบริการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายแทน ฯลฯ
แน่นอนว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีคนบางกลุ่มที่ต้องสูญเสียตำแหน่งงานเดิมไป โดยสิงคโปร์พบว่า กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการสูญเสียตำแหน่งงานในโลกหลัง Covid-19 ของสิงคโปร์ก็คือ คนทำงานในระดับ Mid-Career หรืออาจเปรียบได้กับคนที่มีทักษะการทำงานและความมั่นคงในหน้าที่การงานแล้วระดับหนึ่ง แต่ไม่อาจขยับขยาย หรือพาตัวเองไปเสริมทักษะใหม่ ๆ เพื่อทำงานในโลกยุคต่อไปได้ โดยอาจจะติดที่หลายปัจจัย เช่น มีพ่อแม่สูงอายุ หรือลูกเล็กให้ต้องดูแล ซึ่งคนกลุ่มนี้ เมื่อต้องไปแข่งกับเด็กจบใหม่ บางส่วนก็ไม่มีศักยภาพเพียงพอ หรือไม่มีชุดความรู้ที่ใหม่พอจะเข้าไปทำงานด้วยเช่นกัน
โดยข้อมูลของสิงคโปร์ในปี 2019 พบว่า คนทำงานที่อายุระหว่าง 21 – 30 ปี หากถูกเลย์ออฟ พวกเขาสามารถหางานใหม่ได้ภายใน 6 เดือนถึง 76.3% แต่ถ้าเป็นคนอายุระหว่าง 31 – 40 ปี ความสามารถในการหางานใหม่จะลดลงเหลือ 65.8% และเหลือ 52.2% ในกลุ่มคนที่อายุ 41 – 50 ปี
นั่นจึงนำไปสู่การดูแลคนกลุ่มนี้ของรัฐบาลสิงคโปร์ที่น่าสนใจทีเดียว เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสิงคโปร์ Heng Swee Keat กล่าวว่า มีมาตรการดูแลคนกลุ่ม Mid-Career เป็นพิเศษ โดยสิงคโปร์จะมีการออกค่าใช้จ่ายเพื่อสนับสนุนให้พวกเขาไปเข้ารับการอบรมเพื่อจะได้กลับสู่โลกการทำงานได้อีกครั้ง ไม่เพียงเท่านั้น ในระหว่างอบรม สิงคโปร์จะจ่ายเงินให้อีกเดือนละ 1,200 เหรียญสิงคโปร์ (ประมาณ 27,000 บาท) เพื่อให้พวกเขาไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะได้ตั้งใจเรียนทักษะใหม่ ๆ อย่างเต็มที่ และออกมาเริ่มต้นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนนายจ้างก็ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลเช่นกัน โดยนายจ้างที่รับแรงงานสัญชาติสิงคโปร์อายุ 40 ปีขึ้นไปที่ผ่านการฝึกอบรมอาชีพรอบใหม่กลับเข้าทำงาน จะได้รับเงินจากรัฐบาลคิดเป็นจำนวน 40% ของเงินเดือนที่บริษัทต้องจ่ายให้กับพนักงานกลุ่มนี้ด้วย (โดยรัฐบาลมีเกณฑ์ว่าเงินที่จะจ่ายให้กับนายจ้างนั้นจะไม่เกิน 12,000 เหรียญสิงคโปร์)
ส่วนเหตุผลที่ทำเช่นนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า กลุ่มคนที่เข้ารับการ ReSkill มีความสามารถจริง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีบริษัทยอมรับพวกเขาเข้าทำงานนั่นเอง
โดยแผนการช่วยเหลือคนกลุ่ม Mid-Career ของสิงคโปร์นี้ใช้งบประมาณราว 2 พันล้านเหรียญสิงคโปร์ และถือเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่ 4
นายจ้างต้องร่วมเป็น “ทีมสิงคโปร์” ด้วย
แต่นอกจากความช่วยเหลือที่พยายามดูแลในทุก ๆ ด้านแล้ว สิ่งที่น่าประทับใจอาจเป็นคำกล่าวของนาย Tharman Shanmugaratnam รัฐมนตรีอาวุโส ผู้ดูแล National Jobs Council ซึ่งดูแลเรื่องตำแหน่งงานของประชากรในประเทศที่กล่าวว่า ไม่มีใครแก่เกินจะถูกจ้างงาน โดยที่ผ่านมารัฐบาลช่วยสนับสนุนนายจ้างมากแล้ว นายจ้างจึงควรเป็นส่วนหนึ่งของทีมสิงคโปร์ในการต่อสู้กับปัญหาด้านแรงงานที่ประเทศกำลังเผชิญในขณะนี้ด้วย
โดยรัฐบาลสิงคโปร์มีการให้ไกด์ไลน์กับบริษัทภายในประเทศด้วยว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ นายจ้างควรจะพิจารณาจ้างงานคนสัญชาติสิงคโปร์ด้วยความเป็นธรรมก่อนการหันไปว่าจ้างชาวต่างชาติ
ความกังวลใจของชาว Mid-Career
อย่างไรก็ดี แม้จะมีการสนับสนุนด้านการเงิน และคอร์สฝึกอบรมเพื่อให้หางานใหม่ได้แล้วก็ตาม แต่ชาว Mid-Career ก็ยังมีความกังวลใจอีกหลายข้อ โดยสื่ออย่าง AsiaOne ได้มีการสัมภาษณ์หญิงชาวสิงคโปร์รายหนึ่งพบว่า เธอกังวลเรื่องครอบครัว เนื่องจากการอบรมเพื่อฝึกทักษะใหม่เหล่านั้นมักจัดขึ้นตอนเย็นหลังเลิกงาน ซึ่งในฐานะที่เธอเป็นเสาหลักของครอบครัวที่ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน และคนที่เหลือเป็นเด็กและผู้สูงอายุนั้น จะไม่สามารถดูแลครอบครัวได้นั่นเอง
โดยก่อนที่จะเกิดวิกฤติไวรัสระบาด สิงคโปร์มีคนทำงานในกลุ่ม PMETs (ย่อมาจาก professionals, managers, executives และ technicians) อยู่ค่อนข้างมาก เห็นได้จากไตรมาสที่ 4 ของปี 2019 สิงคโปร์มีคนกลุ่มนี้อยู่ราว 7 ใน 10 ของแรงงาน และ 70% ของคนกลุ่มนี้มีอายุมากกว่า 40 ปีแล้วด้วย