แม้ตอนนี้ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในระดับต่ำ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า วิกฤติครั้งนี้ได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยวไทย ซึ่งเป็นพระเอกในการสร้างรายได้ให้กับประเทศมาตลอด โดยเฉพาะรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ จนทำให้หลายฝ่ายต่างคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติคงกลับมาเที่ยวไทยได้ยาก แม้จะมีมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยว ด้วยการเปิด Travel Bubble หรือ การท่องเที่ยวแบบจับคู่เดินทาง เพราะคงดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวได้ไม่มากเมื่อเทียบกับจำนวนที่หายไป
ทำให้ การท่องเที่ยวในประเทศ ในเวลานี้ จึงกลายเป็น ความหวัง สำคัญในการช่วยพยุงให้เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจชุมชนในจังหวัดต่างๆ ไม่ให้ทรุดหนักไปกว่านี้ แต่ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัว หลายคนจึงกังวลว่า การท่องเที่ยวในประเทศจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วหรือไม่ และจังหวัดไหนที่การท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่จะฟื้นได้ก่อน
เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวการท่องเที่ยวในประเทศรึยัง?
ข้อมูลจาก Krungthai COMPASS โดย คุณกิตติพงษ์ เรือนทิพย์ และคุณชญานิน ถาวรลัญฉ์ ระบุว่า โดยปกติหากจะดูภาพรวมการท่องเที่ยวเป็นอย่างไร อัตราการเข้าพัก หรือ OR (Occupancy Rate) ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีอย่างหนึ่ง แต่ข้อมูล OR มักเผยแพร่ล่าช้าเกือบ 1 เดือน โดย ณ ต้นเดือนกรกฎาคม ข้อมูล OR ล่าสุดยังเป็นของเดือนพฤษภาคม ทำให้แม้จะเริ่มเห็นว่ายอด OR เพิ่มขึ้นบ้างในเดือนพฤษภาคม แต่ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่า การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายนเป็นอย่างไร
เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงต้องใช้เครื่องมือที่สามารถหาดัชนีที่เผยแพร่อย่างรวดเร็ว ทันสถานการณ์และมีความถี่มาก นั่นก็คือ High-Frequency Indicators มาเป็นตัวแทน (Proxy) ในการดูสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุดได้ อย่างเช่น ข้อมูลผู้โดยสารในประเทศจากกรมท่าอากาศยานที่เผยแพร่รายวัน หรือ Google Community Mobility Report ในหมวดสวนสาธารณะที่ดูว่า ในช่วงเวลานี้มีการเดินทางไปไปอุทยาน ชายหาด และสวนสาธารณะกันมากเพียงใดแล้ว หรือ Mobility Trends Reports จาก Apple ที่แสดงข้อมูลว่ามีการขอเส้นทางขับรถผ่าน Apple Map มากเพียงใด โดยทั้ง Google Mobility Report และตัวเลขผู้โดยสารเครื่องบินในประเทศล้วนแสดงให้เห็น กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว “ฟื้นตัว” อย่างต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าผู้คนจะเริ่มออกไปชายหาด และอุทยานต่างๆ มากขึ้น จนน้อยกว่าช่วงเดือนมกราคมเพียงประมาณ 20% แต่ถ้าดูตัวเลขผู้โดยสารเครื่องบินในประเทศจะพบว่าน้อยกว่าช่วงต้นปีถึง 75% ซึ่งหากเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันกับปีที่แล้ว ตัวเลขผู้โดยสารในประเทศปีนี้หดตัวถึง 73% YoY ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า ผู้บริโภคส่วนหนึ่งอาจยังกังวลกับสถานการณ์การระบาด เลยเลือกที่จะท่องเที่ยวด้วยรถยนต์แทนที่จะเดินทางด้วยเครื่องบิน หรือ คนไม่ต้องการใช้เงินมากในช่วงที่เศรษฐกิจยังเปราะบาง จึงเลือกที่จะท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้ๆ
การท่องเที่ยวจังหวัดไหน “ฟื้นตัว” จังหวัดไหนยัง “ไม่ฟื้น”
เนื่องจากกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีประชากรจำนวนมาก และประชากรโดยเฉลี่ยมีกำลังซื้อสูงที่สุดในประเทศ การท่องเที่ยวของคนกรุงเทพฯ จึงนับว่ามีความสำคัญต่อจังหวัดอื่นๆ ไม่น้อย ในช่วงที่คนยังไม่ค่อยกลับมาโดยสารด้วยเครื่องบิน จังหวัดที่คนกรุงเทพฯ สามารถขับรถไปท่องเที่ยวได้ง่ายน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่า ในขณะที่ จังหวัดใดต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมากในภาวะปกติ แม้คนในประเทศเดินทางกลับไปเที่ยว ก็ไม่สามารถชดเชยรายได้จากชาวต่างชาติที่หายไปได้
โดยหากแบ่งจังหวัดท่องเที่ยวหลักตามสถานที่ตั้งว่าอยู่ใกล้หรือไกลกรุงเทพฯ และแหล่งรายได้ ว่ามาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะหรือไม่ จะแบ่งกลุ่มได้ทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ
1.กลุ่มใกล้กรุงเทพฯ และต่างชาติไม่เยอะมาก คาดว่าการท่องเที่ยวน่าจะฟื้นตัวได้เร็ว เช่น กาญจนบุรี นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ เป็นต้น
2.กลุ่มไกลกรุงเทพฯ และต่างชาติไม่เยอะมาก คาดว่าน่าจะฟื้นตัวได้เร็วเช่นกัน เพราะคนพื้นที่ไปเที่ยวได้ง่าย เช่น อุบลราชธานี ขอนแก่น อุดรธานี เป็นต้น
3.กลุ่มใกล้กรุงเทพฯ และต่างชาติเยอะ คาดว่าน่าจะฟื้นตัวได้ เพราะคนกรุงเทพฯ คงไปเที่ยวกันเยอะ แต่คงฟื้นไม่มากนัก เพราะปกติรายได้จำนวนมากมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก เช่น ชลบุรี
4.กลุ่มไกลกรุงเทพฯ และต่างชาติเยอะ เป็นกลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าที่สุด เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต พังงา กระบี่ เป็นต้น
จากข้อสมมุติข้างต้น สามารถนำข้อมูลการขอรับเส้นทางจาก Apple Map เพื่อขับรถดูได้ว่าในจังหวัดนั้นๆ คนใช้ Map กันมากแค่ไหนแล้ว เทียบกับช่วงต้นปี ซึ่งข้อมูลการเปิด Map พอจะฉายให้เห็นภาพได้ว่าคนเที่ยวกันมากขึ้นรึเปล่า เพราะนักท่องเที่ยวมักเป็นกลุ่มคนที่ต้องเปิด Map ขณะขับรถมากกว่าคนในพื้นที่ที่คุ้นเคยเส้นทางอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก Apple ยังแสดงให้เห็นว่าในจังหวัดท่องเที่ยวที่ใกล้กรุงเทพฯ และรายได้ส่วนใหญ่มาจากนักท่องเที่ยวไทย (เส้นสีฟ้าเข้ม) อย่างกาญจนบุรี และนครราชสีมา (เขาใหญ่) มีคนใช้ Map ขับรถในช่วงเดือนมิถุนายน มากกว่าช่วงเดือนมกราคม และตัวเลขยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย เช่นเดียวกันกับจังหวัดที่ไกลกรุงเทพฯ และพึ่งพิงนักท่องเที่ยวไทยเป็นส่วนใหญ่ อย่าง อุบลราชธานี หรือขอนแก่น ที่การใช้ Map ขับรถกลับมามากกว่าช่วงต้นปีแล้ว
ในขณะที่จังหวัดใกล้กรุงเทพฯ แต่พึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะ อย่างชลบุรีที่มีรายได้จากชาวต่างชาติเป็นสัดส่วนถึง 80% ของรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งหมด แม้จะเห็นว่าจำนวนคนเปิด Map ขับรถเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับช่วงมกราคมซึ่งเป็นช่วง High Season แล้ว แต่การที่รายได้ส่วนใหญ่ในช่วงปกติมาจากชาวต่างชาติ ทำให้แม้คนไทยจะกลับไปเที่ยวแล้ว แต่รายได้จากการท่องเที่ยวก็ยังอยู่ในระดับที่น้อยกว่าช่วงที่มีชาวต่างชาติอยู่มาก ซึ่งการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ ก็กำลังเจอกับสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน
สำหรับกลุ่มจังหวัดที่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ และพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะ อย่างจังหวัดเชียงใหม่ และภูเก็ต ข้อมูลจาก Apple แสดงให้เห็นว่า คนยังขอรับเส้นทางจาก Apple Map น้อยกว่าช่วงเดือนมกราคมอยู่มาก ซึ่งไม่เพียงแต่สองจังหวัดดังกล่าว จังหวัดอื่นที่มีลักษณะนี้ เช่น พังงา กระบี่ ก็มีการขอรับเส้นทางจาก Apple ที่น้อยลงมากเช่นกัน
จากข้อมูลรายพื้นที่ของ Apple ทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ภาคการท่องเที่ยวตลอดจนเศรษฐกิจในพื้นที่ของกลุ่มจังหวัดใดบ้างที่เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่จังหวัดไหนยังไม่กระเตื้องขึ้นบ้าง เนื่องจากข้อมูล Apple Map กับค่า OR ในแต่ละจังหวัดต่างเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันอย่างมาก (รูปที่ 6) อย่างไรก็ดี สิ่งที่ควรระมัดระวังคือ แม้ว่าข้อมูลการใช้ Map ในบางจังหวัดจะกลับมาแล้ว แต่หากจังหวัดนั้นเคยพึ่งพิงรายได้ท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติเป็นหลัก เศรษฐกิจในพื้นที่นั้นๆ ก็อาจจะยังไม่ฟื้นตัวในระดับเดิมได้
สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง Krungthai COMPASS คาดว่าภาคการท่องเที่ยวในประเทศจะฟื้นตัวเพิ่มได้ ทั้งจากการคลายล็อคดาวน์ และจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐ ที่น่าจะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวมีรายได้เพิ่มไม่ต่ำกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท โดยมองว่าแม้มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจะไม่สามารถชดเชยรายได้จากชาวต่างชาติในครึ่งปีหลังที่หายไปกว่า 9 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับปี 2019 ได้ แต่ก็อาจทำได้เศรษฐกิจในบางจังหวัดกลับมาคึกคักได้ ซึ่งก็ต้องติดตามต่อไปว่าผู้เข้าร่วมโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” จะเดินทางไปท่องเที่ยวจังหวัดใดมากเป็นพิเศษ