ทุกวันนี้เราได้เห็นข่าวการยื่นขอฟื้นฟูกิจการของแบรนด์ดังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในธุรกิจแฟชั่นค้าปลีก แต่ดูเหมือนว่าในอีกไม่ช้า ปัญหาดังกล่าวจะลามไปกระทบวัฒนธรรมการบริโภค “กาแฟ” ที่เคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงเมื่อ 2 – 3 ปีก่อนแล้วก็เป็นได้
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะมีการคาดการณ์จากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาว่า การบริโภคกาแฟในระดับโลกมีการปรับตัวลดลงเป็น “ครั้งแรก” นับตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา เนื่องจากนโยบายการปิดเมืองของประเทศต่าง ๆ ที่กระทบโดยตรงต่อยอดขาย และคาดว่าต้องใช้เวลาอีกสักระยะเลยทีเดียวกว่าจะกลับเข้าสู่การเติบโตเช่นเดิม
ผลกระทบต่อเนื่องยังลามไปสู่เกษตรกร เมื่อทาง Citigroup ได้คาดการณ์ราคาเมล็ดกาแฟอะราบิก้าในช่วงครึ่งปีหลังนี้ว่าจะลดลงประมาณ 10% ไปอยู่ที่ 90 เซนต์ต่อปอนด์ด้วย และอาจทำให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ต้องนำแรงงานเด็กเข้ามาใช้แทนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย
สาเหตุที่นำไปสู่สถานการณ์ดังกล่าวมาจากการปิดตัวของแหล่งแฮงค์เอาท์นอกบ้านกว่า 95% ทั่วโลกที่ทำให้วัฒนธรรมการบริโภคกาแฟลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนร้านค้าที่ปรับตัวหนีขึ้นมาอยู่บนออนไลน์ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะสิ่งที่ร้านกาแฟมี อย่างเช่น บรรยากาศ และการได้พบปะผู้คนมากหน้าหลายตาในยามเช้า ไม่ใช่สิ่งที่การสั่งซื้อออนไลน์จะทดแทนได้ มันจึงไม่ใช่ช่องทางที่จะตอบโจทย์ด้านโซเชียลของคนรักกาแฟได้เลย โดยรายงานจาก Bloomberg ชี้ว่า เชนร้านกาแฟบางแห่งในบราซิลที่กลับมาเปิดตัวใหม่หลังรัฐบาลผ่อนปรน ล่าสุดก็ต้องปิดตัวลงอีกครั้งแล้วเพราะไม่มีลูกค้า
แต่หากมองมาทางเอเชีย พบว่าสถานการณ์ไม่ได้แย่เท่าชาติตะวันตก โดย Mintel บริษัทวิจัยตลาดเผยว่า ธุรกิจกาแฟและร้านอาหารคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ พร้อมหยอดยาหอมว่า ธุรกิจกาแฟและร้านอาหารในสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะฟื้นตัวได้ในช่วงปีหน้าเช่นกัน
แต่การมาของ Covid-19 ก็ไม่ได้ทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมกาแฟซวนเซไปทั้งหมด เพราะ Mintel มองว่า คนที่จะได้รับประโยชน์ในช่วงเวลานี้ก็คือบริษัทผู้ผลิตกาแฟสำเร็จรูป ซึ่งมีราคาประหยัดกว่า เหมาะกับเศรษฐกิจยุครัดเข็มขัด มีตัวเลือกที่หลากหลาย อีกทั้งยังสามารถชงดื่มได้ในบ้านนั่นเอง