ถ้าพูดถึงอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรง มีทั้งแบรนด์ และจำนวนรุ่นมากมาย ต้องยกให้กับ “ตลาดสมาร์ทโฟน” มีทั้งแบรนด์จากสหรัฐฯ, แบรนด์เกาหลี และโดยเฉพาะแบรนด์จีนที่ในช่วงเวลาไม่ถึง 10 ปีมานี้ สามารถก้าวขึ้นมาอยู่แถวหน้าในฐานะ Global Brand ได้สำเร็จ!
“International Data Corporation” (IDC) ประมาณการณ์ว่าในปี 2020 ยอดขายสมาร์ทโฟนทั่วโลกจะอยู่ที่กว่า 1.2 พันล้านเครื่อง และคาดการณ์ว่าในปี 2024 จะมียอดขายกว่า 1.4 พันล้านเครื่อง ทว่าในขณะที่มีแบรนด์จำนวนมาก แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าเกือบทั้งตลาดรวม ถูกปกคลุมด้วยแบรนด์ใหญ่ และมีอยู่ไม่กี่แบรนด์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย และไทย จะเห็นคนใช้งานไม่เกิน 5 แบรนด์หลักๆ
สิ่งที่ตามมาคือ แบรนด์หลักๆ ที่วางจำหน่ายอยู่นั้น สามารถตอบโจทย์ความต้องการ ไลฟ์สไตล์ และความชอบของผู้บริโภคได้ครอบคลุมทั้งหมดจริงหรือ ? หรือผู้บริโภคกำลังถูก “ตีกรอบ” ทางเลือกให้ใช้ได้เท่าที่แบรนด์ที่กำลัง dominate ตลาดอยู่ ?
คำถามข้างต้นนี้ได้ถูกปลดล็อก! เมื่อปลายปี 2013 หนุ่มชาวจีนสองคน ได้รวมตัวกันก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ในเซินเจิ้น เมืองที่รัฐบาลจีนปลุกปั้นให้เป็น Silicon Valley ของเอเชีย ด้วยความมุ่งมั่นของคนทั้งสองต้องการสร้างแบรนด์สมาร์ทโฟนที่แตกต่างจากกรอบเดิมๆ ที่บรรดาแบรนด์ยักษ์ใหญ่ทำกันมา
หลังก่อตั้งบริษัทไม่นาน ในปีถัดมาตลาดสมาร์ทโฟนได้มีแบรนด์ใหม่ถือกำเนิดขึ้น ภายใต้แบรนด์ชื่อว่า “OnePlus”
จะปฏิวัติตลาดสมาร์ทโฟนได้ “อย่ากลัวแบรนด์ใหญ่ แต่ให้กล้าท้าทายตัวเอง”
ท่ามกลางการแข่งขันสูง และมีแบรนด์ใหญ่ปกคลุมทั้งตลาด มองดูแล้วแทบจะไม่เห็นหนทางที่แบรนด์ใหม่จะแทรกเข้าไปเป็นหนึ่งในมหาสมุทรที่มีคลื่นถาโถมรุนแรงได้เลย และแต่ละแบรนด์ที่อยู่มาก่อนต่างทุ่มสุดตัว ทั้งงบ R&D, ทรัพยากรบุคคลากร การตลาด ราคา การสร้างช่องทางการขาย เรียกได้ว่าเชือดเฉือนกันแบบไม่มีใครยอมใคร!
แต่ “Pete Lau” ซึ่งโดยพื้นฐานเขาเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดผลิตภัณฑ์มากๆ ถึงกับว่าครั้งหนึ่งเคยหักบอร์ดวงจรหลักของเครื่อง Blu-Ray ทิ้ง เพราะรับไม่ได้กับงานดีไซน์ของเมนบอร์ด และ “Carl Pei” ชาวจีนที่โตในสวีเดน และเริ่มทำงานในธุรกิจมือถือตั้งแต่ก่อนเรียนจบ ทั้งสองหนุ่มชาวจีนกลับมองว่าท่ามกลางแบรนด์ใหญ่ที่ dominate ตลาดมาก่อนนั้น ยังมี “ช่องว่างตลาด” ที่บรรดายักษ์ใหญ่ยังไม่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ครอบคลุมทั้งหมด
การค้นพบช่องว่างทางธุรกิจนี้ เกิดขึ้นในวันหนึ่งเมื่อ “Pete Lau” และ “Carl Pei” พร้อมด้วยผู้บริหารอีก 3 คนมีประชุมกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่อระดมสมองพัฒนาสมาร์ทโฟนที่แตกต่าง และตอบโจทย์ในสิ่งที่แบรนด์ใหญ่ยังไม่ตอบสนองต่อผู้บริโภค
ในระหว่างประชุมกันอยู่นั้น พบว่าทั้ง 5 คนในห้องนั้น ใช้ iPhone กันหมด ก็เกิดปิ๊งไอเดียการจะไปตีตลาดโทรศัพท์มือถือที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด และมีแบรนด์เจ้าถิ่นรายใหญ่ที่อยู่มาก่อน ครองตลาดอย่างเหนียวแน่น สำคัญอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาแบรนด์ และสินค้าให้เป็น “สมาร์ทโฟนที่คนทั่วโลกอยากใช้”
ผู้บริหารทั้ง 5 คนจึงตั้งคำถามต่อว่า แล้วสมาร์ทโฟนที่คนทั่วโลกอยากใช้ จะมีหน้าตา สเปค ราคาเป็นอย่างไร ? และชื่อแบรนด์ – โลโก้ที่เมื่อใครๆ ที่ได้ยิน ได้เห็นแล้ว สามารถจดจำได้ทันที
ในที่สุดก็ได้ชื่อแบรนด์ว่า “OnePlus (วันพลัส)” และโลโก้แบรนด์เลข 1 กับเครื่องหมายบวก (+) คำว่า “One” หมายความถึงตัวแทนลูกค้า 1 คน ที่ได้ลองใช้มือถือเครื่องนี้แล้วประทับใจมาก จนอยากบอกต่อเพื่อน (Plus) จนกลายเป็นแบรนด์ที่สร้างตัวได้จากสินค้าที่ดี จนทำให้เกิดการตลาดแบบปากต่อปากได้ในที่สุด
ขณะที่แนวทางการพัฒนาโปรดักต์, สโลแกน และแนวทางการทำงานของทุกคนในทีม คือ “Never Settle” การไม่หยุดพัฒนาตัวเองในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นสไตล์การทำงานแบบสตาร์ทอัพที่เน้นการพัฒนาต่อเนื่อง ด้วยความคล่องตัว และรวดเร็ว ผสานกับการใส่นวัตกรรมล้ำๆ และดีไซน์สินค้าเรียบง่าย แต่สะดุดตา
เป็นการสร้างมือถือที่ฉีกออกจากแบรนด์อื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นจากการระดมไอเดียของคนรุ่นใหม่ไฟแรงทีมเล็กๆ หากแต่มี Passion และความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมที่จะพัฒนา “สมาร์ทโฟน” คุณภาพดี – ดีไซน์เรียบง่าย แต่มีเอกลักษณ์ชัดเจน – ใช้วัสดุคุณภาพสูงทั้งภายนอก และภายใน – สเปคเทพ – จำหน่ายในราคาสุดคุ้ม เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้
แตกต่างกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นในตลาด อย่างถ้าใครอยากได้สมาร์ทโฟนสเปคสูง ดีไซน์สวย วัสดุดี แบรนด์และสินค้าสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้งาน ก็ต้องจ่ายในราคากว่า 30,000 – 40,000 บาทขึ้นไป! หรือถ้าเป็นสมาร์ทโฟนระดับกลาง – ล่างที่ราคาจำหน่ายตั้งแต่หลักพัน ถึงหลักหมื่นกลางๆ แม้ราคาเอื้อมถึงง่าย แต่ทั้งสเปค และวัสดุที่ใช้ย่อมถูกลดทอนลงมา
และแล้วในที่สุดวันที่ 22 เมษายน 2014 เป็นวันที่ทั่วโลกต้องจับตามองถึงการมาของสมาร์ทโฟนรุ่น “OnePlus One” เปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรก!
ปรากฏว่าทันทีที่เปิดตัววางจำหน่าย “OnePlus One” เป็นที่พูดถึง และได้การตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค โดยสามารถขายได้ถึงเกือบ 1 ล้านเครื่องในปีเดียวกันนั้นเอง ซึ่งเกินกว่าที่ตั้งเป้าหมายที่ 50,000 เครื่อง!!!
และความมุ่งมั่นไม่หยุดพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หรือ “Never Settle” ยังคงเป็นคำมั่นสัญญาของ “OnePlus” นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มดำเนินธุรกิจ จนถึงวันนี้ไม่เปลี่ยนแปลงที่กล้าท้าทายตัวเอง และกล้าฉีกออกจากกรอบเดิมๆ ของตลาดสมาร์ทโฟน เพื่อไม่หยุดพัฒนาตัวเอง นำไปสู่การส่งมอบเทคโนโลยีดีที่สุดให้กับผู้บริโภคทุกคน จนถึงกับถูกเรียกว่าเป็น “แบรนด์สมาร์ทโฟนอินดี้” ซึ่งบ่งบอกการสร้างแนวทางเดินของตัวเองอย่างชัดเจน
“OnePlus Nord” ความสมบูรณ์ของเทคโนโลยี ที่ใครๆ ก็เป็นเจ้าของได้
“สมาร์ทโฟน” ไม่ใช่แค่อุปกรณ์สำหรับสื่อสาร ทำธุรกรรมการเงิน ทำงานเอกสาร หรือทำสิ่งต่างๆ ที่ช่วยสร้างความสะดวกในชีวิตประจำวันของคนเราเท่านั้น หากแต่สมาร์ทโฟนที่ผ่านกระบวนการพิถีพิถัน กว่าจะได้สมาร์ทโฟนสักเครื่อง – สักรุ่น เปรียบเป็นงาน “ประติมากรรมทางเทคโนโลยี” ที่ผู้ผลิตบรรจงปั้นแต่งในทุกรายละเอียด เหมือนเช่นรุ่น “OnePlus Nord” ขายในราคาเริ่มต้นหมื่นกลางๆ
ที่มาของคำว่า “Nord” มาจากคอนเซ็ปต์ของ “True North” หรือ “Geographic North Pole” คือ ทิศเหนือจริงทางภูมิศาสตร์ เป็นจุดเหนือสุดที่แกนการหมุนของโลกตั้งฉากกับพื้นผิว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง เปรียบได้กับ “OnePlus Nord” ที่มีเป้าหมายชัดเจน และไม่เปลี่ยนแปลงในการเป็น “รุ่นเรือธง ในราคาย่อมเยา กับสเปคจัดเต็มสุดๆ”
“OnePlus Nord” จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของแบรนด์ “OnePlus” และพัฒนาการตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก ในความกล้า Rethink เพื่อนำเสนอสมาร์ทโฟนที่มีเทคโนโลยีสุดล้ำ เข้าใจการใช้งานของผู้บริโภค และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเข้าสู่ยุค 5G ในราคาเข้าถึงได้ง่าย
สอดคล้องกับสโลแกน “Never Settle” เมื่อความคาดหวัง ความชอบ ความต้องการของลูกค้าไม่มีที่สิ้นสุด “OnePlus” จึงไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพื่อตอบสนองลูกค้า