ก่อนหน้านี้ “กลุ่มเซ็นทรัล” (Central Group) เคยประกาศว่า ต้องการมุ่งสู่การเป็น “Technology Company” และเป็นผู้นำ “Digital Lifestyle Platform” ทั้งในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภายใต้การทรานส์ฟอร์มสู่ “Tech Company” และเป็น “Digital Lifestyle Platform” ที่เชื่อมโยงทั้ง “Physical Platform” เช่น ศูนย์การค้า, ห้างสรรพสินค้า, เชนค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล รีเทล ไปจนถึงธุรกิจโรงแรม และ “Digital Platform” ที่นำกลุ่มธุรกิจ, สินค้าและบริการต่างๆ ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ปมาอยู่บนดิจิทัล
และใช้ “Data-driven” ไม่ว่าจะเป็น Data ความชอบ ความสนใจ ตัวตนของผู้บริโภคลงลึกตั้งแต่ระดับเซ็กเมนต์ ไปจนถึงระดับบุคคล รวมทั้งเข้าใจบริบท และสถานการณ์ทางการตลาด มาวิเคราะห์ และทำเข้าใจ Customer Journey และไลฟ์สไตล์
เพื่อนำไปต่อยอดสู่การพัฒนาเทคโนโลยี สินค้า – บริการ การออกแบบประสบการณ์ลูกค้าในรูปแบบ “Omni-channel” ครอบคลุมทั้งแพลตฟอร์ม Digital และ Physical รวมทั้งโปรแกรมสิทธิประโยชน์ต่าง ที่ตอบสนองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และพฤติกรรมของผู้บริโภคได้แบบ Personalization
สองหน่วยงานที่ถือเป็น Engine สำคัญในการทรานส์ฟอร์ม “เซ็นทรัล กรุ๊ป” สู่การเป็น Tech Company และ Digital Lifestyle Platform ที่ใช้เทคโนโลยี และ Data-driven ในการขับเคลื่อน คือ
“The 1” หลายคนคุ้นเคยในฐานะของการเป็น Loyalty Program ของกลุ่มเซ็นทรัลมาก่อน แต่ในวันนี้กำลัง beyond ไปอีกขั้น ด้วยการยกระดับเป็น “Digital Lifestyle Platform”
และ “Central Tech” บริษัทในกลุ่มเซ็นทรัล เป็นทีมเทคโนโลยีผู้อยู่เบื้องหลังการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ให้กับกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก-สตาร์ทอัพ และสร้างบุคลากรสายเทคโนโลยีมาเสริมทัพ เพื่อสร้างความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีให้กับเซ็นทรัล กรุ๊ป
5 หน้าที่หลัก “The 1” เป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม Loyalty Program
ย้อนกลับไปเมื่อ 14 ปีที่แล้ว กลุ่มเซ็นทรัลได้เปิดตัว Loyalty Program ในรูปแบบบัตรแข็ง ภายใต้ชื่อ “The 1 Card” ซึ่งที่ผ่านมา พฤติกรรมของสมาชิกส่วนใหญ่ใช้ 1 เบอร์โทรต่อ 1 ครอบครัว เมื่อสมาชิกในบ้านคนใดก็ตาม ไปจับจ่ายที่ร้านค้าในเครือเซ็นทรัล ก็จะแจ้งเบอร์โทรเดียวกันให้กับพนักงาน ทำให้ฐานข้อมูลการใช้จ่ายของลูกค้า และการสะสม Point อยู่ในเบอร์เดียวกัน
ขณะที่การ Redeem คะแนน ในอดีตที่ยังไม่มีแอปพลิเคชัน ต้องไปที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสในห้างสรรพสินค้า และต้องใช้บัตรประชาชนของสมาชิกเจ้าของบัตรตัวจริง เพื่อยืนยันตัวตน โดยที่การแลกคะแนน จะได้สิทธิประโยชน์ให้สมาชิกเลือกได้เพียง 2 รูปแบบเท่านั้น คือ Cash Coupon และแสตมป์ ซึ่งการเช็คยอด Point ลูกค้ามักจะเห็นต่อเมื่อพนักงานเช็คให้ หรือเมื่อซื้อของเสร็จแล้ว ในใบเสร็จจะระบุ Point
กระทั่งในปี 2561 “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ ต้องการทรานส์ฟอร์มสู่ “New Central, New Retail” จึงได้ทำ Digital Transformation ทั้งกรุ๊ป ดังนั้นเพื่อสอดคล้องกับ Direction ที่กำลังเดินไป “The 1 Card” ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “The 1” และสร้าง “แอปพลิเคชัน” แต่ปรากฏว่าการพัฒนาแอปฯ ในครั้งนั้น ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง
ทำให้ต้องนำกลับไปพัฒนาใหม่อีกครั้ง จนได้เป็น “The 1” โฉมใหม่ในวันนี้ ที่ต้องการเป็นมากกว่าแพลตฟอร์ม Loyalty Program แต่คือ Engine สำคัญของ “กลุ่มเซ็นทรัล” ในการขับเคลื่อนทั้งกรุ๊ปไปสู่การเป็น “Data-driven Tech Company” และ “Digital Lifestyle Platform”
ขณะเดียวกันเป็นการแก้โจทย์ 1 เบอร์โทรใช้ทั้งครอบครัว ด้วยการกระตุ้นให้ลูกค้าแต่ละคน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน The 1 มาอยู่บนมือถือของตนเอง เพื่อแยก Account การใช้งานเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” เอง ที่ทำให้ระบบการจัดเก็บ และบริหารจัดการ Data มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันในฝั่งสมาชิก The 1 เมื่อแยกบัญชีการใช้งานเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ จะทำให้ Offer ต่างๆ ที่ The 1 ส่งมาให้แบบ Personalization
ภายใต้ “The 1” โฉมใหม่ จะเป็นหนึ่งใน Engine สำคัญผลักดัน “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ในยุค Data-driven โดยมีภารกิจสำคัญคือ
1. Data Collect & Analytics รู้จักตัวตน และความชอบของลูกค้าแบบ Personalization
- ปัจจุบัน “The 1” มีสมาชิก 17 ล้านคน
- ในจำนวนสมาชิกทั้งหมดมี Active Monthly 4 ล้านคน
- ยอดกว่า 600,000 Transaction ต่อวัน
- 80% ของยอดขายทั้งเซ็นทรัล กรุ๊ปมาจากสมาชิก The 1
- มีกว่า 2,000 แบรนด์ โดยมากกว่า 50% เป็นแบรนด์นอกเครือเซ็นทรัล
- มี Touch Point กว่า 30,000 จุดทั้งของในเครือเซ็นทรัล และพาร์ทเนอร์
ทีม Data ทำหน้าที่จัดเก็บฐานข้อมูล และวิเคราะห์ โดยไม่ได้ดูแค่การใช้จ่ายเท่านั้น แต่ดูทั้ง Customer Journey ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละคน แต่ละเซ็กเมนต์สนใจอะไร ชอบอะไร และ Interact กับทั้งสินค้า – บริการ, ดีลพิเศษ การสะสม และใช้คะแนนไปกับบริการต่างๆ ในเครือเซ็นทรัล และของพาร์ทเนอร์อย่างไร เพื่อนำเสนอสินค้า – บริการ – โปรโมชั่น หรือดีลพิเศษ – ข้อมูลข่าวสารให้กับลูกค้าได้แบบ Personalization
2. จิ๊กซอว์โมเดล “Omni-channel” เชื่อมต่อ Physical – Digital Platform
เป้าหมายของเซ็นทรัล รีเทล คือ New Central, New Retail เพื่อขยับไปสู่โมเดล “Omni-channel Platform” ที่ผสานระหว่าง Physical และ Digital Platform อย่างไร้รอยต่อ
ดังนั้น การอัพเกรด The 1 โฉมใหม่ให้เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่นำเสนอทั้งด้านไลฟ์สไตล์ และ Loyalty Program เพื่อดึงให้ผู้บริโภคมาใช้บริการ Physical จึงต้องพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ที่มีทั้งด้านคอนเทนต์ และ Rewards, Privilege, Promotion ให้กับสมาชิกผู้ใช้แอปฯ เช่น
- My The 1: รวบรวมสิทธิพิเศษ และข่าวสารเพื่อให้สมาชิก The 1 แต่ละคนโดยเฉพาะ
- Explore: ฟีเจอร์รวบรวมสิทธิพิเศษทั้งหมด ทั้งจากในกลุ่มเซ็นทรัล และพาร์ทเนอร์ โดยแบ่งหมวดหมู่ตามความสนใจและไลฟ์สไตล์ เช่น Eat Around, Grocery, Fashion, Beauty, Sports, Home & Electronics, Banking & Investment
- Just For You ฟีเจอร์นำเสนอสิทธิพิเศษตามความสนใจของแต่ละบุคคล
- ใช้เทคโนโลยี Location-based push notification โดยระบบจะส่งแจ้งเตือน Rewards, โปรโมชั่น สินค้า-บริการไปให้กับลูกค้าที่กำลังอยู่ในศูนย์การค้า/ห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าของเครือเซ็นทรัล โดยแมสเสจที่ส่งไปให้นั้น ระบบจะคัดเลือกให้ สอดคล้องกับสิ่งที่ลูกค้าคนนั้นๆ สนใจ หรือกำลังต้องการ และเมื่อแจ้งเตือนที่ได้รับ เป็นสิ่งที่ลูกค้าคนนั้นๆ สนใจอยู่ ก็ยิ่งดึงดูดให้ลูกค้ากดเข้าไปดูรายละเอียด และเพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
3. สร้าง Engagement ทุกที่ ทุกเวลา
หนึ่งในเป้าหมายของ “The 1” โฉมใหม่คือ การสร้าง Customer Engagement กับลูกค้าได้ทุกที่ ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องเฉพาะตอนโมเมนต์กำลังช้อปปิ้ง หรือใช้บริการ แต่ทำให้สินค้า และบริการต่างๆ ในเครือเซ็นทรัล รวมทั้งของพันธมิตร เข้าไปอยู่กับลูกค้าสมาชิกได้ในทุกเวลา ทุกสถานที่ โดยที่ลูกค้าก็สามารถ Interact กับแพลตฟอร์ม The 1 ได้ตลอดเวลาเช่นกัน
เช่น ฟีเจอร์ The 1 Mission ให้สมาชิกทำภารกิจทั้งสะสม และแลกรับรางวัลต่างๆ ได้ทันทีในแอปฯ โดยไม่ต้องนำใบเสร็จไปสะสม เพื่อรับรางวัล ปัจจุบันมีหลาย Mission ให้สมาชิกเลือกเล่นได้ และตรวจสอบสถานะ Mission Tracking ด้วยตัวเองแบบ Real-time
หรือฟีเจอร์ Just For You ที่นำเสนอดีล หรือ Rewards ให้เฉพาะเจาะจงลูกค้า สิทธิพิเศษ และ Rewards เหล่านี้จะปรับเปลี่ยนเป็นรายอาทิตย์ และรายเดือน เพื่อให้สมาชิกได้เข้ามาอัพเดทข้อมูลผ่านแอปฯ อย่างต่อเนื่องว่ามีข้อเสนอพิเศษสำหรับตัวเองอะไรบ้าง ซึ่งจะทำให้เกิด Engagement ระหว่างสมาชิก, แพลตฟอร์ม The 1 และแบรนด์สินค้า – บริการที่อยู่ในแอปฯ
4. เป็น Marketing Platform ให้กับแบรนด์ และเพิ่มโอกาสสร้าง Conversion ด้านการขาย
นอกจากการทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเก็บ Data, จิ๊กซอว์สร้าง Omni-channel, สร้าง Customer Engagement และนำเสนอ Loyalty Program ให้กับลูกค้าเฉพาะเจาะจงแล้ว เชื่อว่าต่อไปอีกหน้าที่หนึ่งของ “The 1” คือ การเป็น “Marketing Platform” ให้กับทั้งแบรนด์ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป และพาร์ทเนอร์ ใช้ในการทำตลาด และการสื่อสาร กับผู้บริโภคแบบโฟกัส Target
เช่น เมื่อออกสินค้าใหม่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการทดลอง อาจทำในรูปแบบดีลพิเศษบนแอปฯ เพื่อให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ใช้ดีลนั้น ซื้อสินค้าในช่องทาง Physical Store หรือสินค้าแบรนด์ใด สินค้ารายการไหน ต้องการกระตุ้นยอดขาย ทำโปรโมชั่นผ่านแอปฯ ให้ลูกค้าไปช้อปผ่านร้าน
โดยถึงที่สุดแล้วแพลตฟอร์ม “The 1” จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างการเติบโตด้าน Conversion โดยเฉพาะด้านการขายให้กับแบรนด์ในเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป และพาร์ทเนอร์ เพราะการนำเสนอสินค้า – บริการ ดีลพิเศษ โปรโมชั่นต่างๆ ส่งตรงไปหาผู้บริโภคที่มีความสนใจ เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์เขา หรือกำลังมองหาสิ่งนั้นอยู่พอดี จึงยิ่งเพิ่มโอกาส “ปิดการขาย” ได้ง่าย
5. ขยาย “Business Ecosystem”
แพลตฟอร์ม “The 1” เชื่อมโยงทุกหน่วยธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล และพันธมิตร รวมกว่า 2,000 แบรนด์ เพื่อผลักดันแพลตฟอร์มนี้เข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตประจำวันของสมาชิก ดังนั้นแบรนด์สินค้า และบริการที่อยู่ใน Ecosystem จึงมุ่งเน้นการตอบสนองด้านชีวิตประจำวัน และไลฟ์สไตล์ด้านต่างๆ เช่น อาหารการกิน การช้อปปิ้งสินค้าแฟชั่น ความงาม เครื่องใช้ไฟฟ้า การเงิน รวมไปถึงด้าน Health & Well-being เพราะปัจจุบันการดูแลสุขภาพ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ไปแล้ว
แต่การจะสร้าง Ecosystem ของแอปฯ The 1 ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ต้องสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ไม่ได้มีประสบการณ์ หรือความเชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นๆ มาก่อน
อย่างการจับมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ให้สมาชิก The 1 สามารถสะสม Point และใช้ Point ของ The 1 ได้จากการใช้บริการที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
และล่าสุดสร้างความร่วมมือกับ “พรูเด็นเชียล ประเทศไทย” พัฒนา Digital Health & Wellness Solution ที่ผสานระหว่างความเชี่ยวชาญด้านบุคลากร เทคโนโลยี และนวัตกรรมด้าน Health Tech Innovation เช่น ให้คำแนะนำและดูแลด้านสุขภาพผ่านทาง Telemedicine, บริการประเมินสถานะสุขภาพ (Health Assessment) และตรวจสอบอาการ (Symptom Checker) บนแอปพลิเคชันสุขภาพ Pulse by Prudential และนำระบบประมวลผลด้วย AI (Artificial Intelligence) และ Machine Learning มาร่วมวิเคราะห์จัดการข้อมูลกับแพลตฟอร์มของ The 1
“Central Tech” เบื้องหลัง Retail Tech & Innovation ของกลุ่มเซ็นทรัล
การทำ Digital Transformation เป็นความท้าทายใหญ่ขององค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนาน ทำให้ในช่วงเวลา 3 – 5 ปีมานี้ องค์กรใหญ่หลายแห่ง ตั้งบริษัทลูก หรือรูปแบบแผนกงาน สำหรับทำหน้าที่ทั้งพัฒนา และสร้างความร่วมมือด้านดิจิทัล และเทคโนโลยีโดยเฉพาะ เพื่อทำให้องค์กรนั้นๆ สามารถ Transform องค์กรได้เร็ว และเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในยุค Technology Disruption
“เซ็นทรัล กรุ๊ป” หนึ่งใน Conglomerate ครอบคลุมทั้งด้านธุรกิจรีเทล, ธุรกิจร้านอาหาร, ธุรกิจโรงแรม, พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจแฟชั่น ฯลฯ ที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนาน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ทำให้ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” ต้องปรับตัว เพราะฉะนั้นเพื่อให้ทรานส์ฟอร์มองค์กรได้เร็ว นอกจากการปรับตัวของบริษัทในเครือแล้ว ยังได้ตั้ง “Central Tech”
เพื่อทำหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมต่างๆ ทั้งในด้าน Omni-channel, e-Commerce และ Customer Relationship ให้กับ “เซ็นทรัล รีเทล” (Central Retail) ภายใต้วิสัยทัศน์เป็นอันดับ 1 ใน Omni-channel Retail Technology โดยมีหน้าที่หลักๆ คือ
- สร้างและพัฒนาทีมเทคโนโลยี เพื่อสร้างโปรดักต์ใหม่ และพัฒนาปรับปรุงโปรดักต์ที่มีอยู่
- มีส่วนในการ Scale up กลุ่มเซ็นทรัลไปสู่ระดับโลกในหลายตลาด ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย, เวียดนาม, เยอรมนี, อิตาลี, เดนมาร์ก และอื่นๆ
- ใช้วิธีการทำงาน Agility เพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการทำงาน และการพัฒนาโปรดักต์เทคโนโลยี
- สร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ส่วนต่างๆ ทั้งสตาร์ทอัพ, มหาวิทยาลัย และองค์กรอื่นๆ เพื่อพัฒนา Skill ที่จำเป็นในการใช้พัฒนานวัตกรรม
Axel Winter, CTO ของ Central Group กล่าวในงาน The Great Forum จัดโดย True Digital Park ถึงการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจรีเทล – ไลฟ์สไตล์ และบทบาทของเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ว่าในช่วง 2 – 3 เดือนที่ผ่านมา และช่วงปีต่อไปนับจากนี้ “COVID-19” ได้กลายเป็นบททดสอบความสามารถด้านดิจิทัลที่โหดสุดในยุคนี้ และพฤติกรรมของคนในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมานี้ จะกลายเป็นสิ่งที่คนทำต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ถาวร
แน่นอนว่าคนจะกลับไปซื้อของที่ร้าน หรือห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า แต่จะพบว่าคนมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต วิธีการบริโภค วิธีการทำงาน ซึ่งส่งผลให้ทิศทางการทำธุรกิจเปลี่ยนไปใน 5 เรื่องสำคัญ โดยทั้ง 5 เรื่องนี้ยังสอดคล้องกับหน้าที่หลักของ Central.Tech ด้วยเช่นกันในการเป็นส่วนหนึ่งของการทำ Digital Transformation “เซ็นทรัล กรุ๊ป”
1. กระบวนการดิจิทัล เป็นรากฐานสำคัญทั้ง Online และ Offline
“ในขณะที่องค์กรก้าวไปข้างหน้า เรายิ่งต้องเจอกับปัจจัยความไม่แน่นอนบ่อยขึ้น อย่างความท้าทายครั้งนี้ เป็นเรื่องโรคภัย แต่ครั้งหน้าอาจจะเป็นปัญหาโลกร้อนก็ได้ หรือปัญหาอาจเกิดได้จากอีกหลายสาเหตุ ดังนั้นองค์กรต้องเร็ว ต้องตอบสนอง ปรับ และก้าวนำ เพื่อสู้กับอุปสรรคเหล่านี้
ความสามารถที่จะนำพาเราได้ คือ ต้องคิดเกี่ยวกับกระบวนการดิจิทัลก่อน ไม่ใช่คิดแบบ Analog แล้วค่อยพยายามเปลี่ยนให้กลายเป็นดิจิทัล ดังนั้นเราต้องคิดย้อนกลับว่า เรามีกระบวนการแบบดิจิทัล แล้วจึงปรับระบบ Analog ให้เป็นไปตามนั้น”
2. การปรับวัฒนธรรมการบริหารงาน
ส่งเสริมให้คนสร้างสรรค์และพัฒนาผลงานของตัวเอง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่น ความผูกพัน และเกื้อกูลกันในองค์กร
3. วิธีการทำงานแบบ Agile
การทำงานที่เน้นความคล่องตัว รวดเร็ว ตอบสนองอย่างทันท่วงที เช่น ความสามารถในการสร้างฟีเจอร์ใหม่ที่พร้อมใช้งานได้จริง ภายใน 2 – 3 อาทิตย์
4. การดำเนินธุรกิจด้วย Data-driven
Data-driven ถูกพูดถึงบ่อยในช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา และหลายบริษัทมาในทิศทางนี้ เพราะธุรกิจจะไปต่อได้ในโลกดิจิทัล ต้องมี Data รวมทั้งสามารถเก็บข้อมูลได้เพิ่มเติม วิเคราะห์ Data ได้ และต้องมีกลยุทธ์รองรับ
5. ทักษะที่จำเป็นของพนักงานในองค์กร
กระตุ้นให้พนักงานขวนขวายเรียนรู้ทักษะเพิ่มเติม เพื่อให้พนักงานมีความรู้ มีทักษะด้านดิจิทัล และใช้เครื่องมือดิจิทัลได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดย “Central Tech” และถูกนำมาใช้ภายในกลุ่มเซ็นทรัล และสำหรับให้บริการลูกค้าของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในเครือเซ็นทรัล เช่น
“Tops Box” รูปแบบ Innovation Supermarket แห่งแรกในประเทศไทย ที่มีป้ายแสดงสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์ทั้งร้าน ทำให้ช้อปปิ้งได้ง่ายขึ้น ด้วยการสแกน QR Code ราคา และกดชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน Tops Box ได้โดยตรง โดยไม่ต้องรอคิวที่จุดชำระเงิน
“CTO Coin” เหรียญคริปโตใช้ในองค์กรกลุ่มเซ็นทรัล เพื่อเป็น Reward ให้กับพนักงานในองค์กรที่สามารถนำไปใช้เพื่อแลกบริการ ของขวัญ หรือของสมนาคุณต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ยังได้ขยายการใช้งานเหรียญไปยังร้านค้าใกล้ๆ ออฟฟิศในกลุ่มเซ็นทรัลอีกด้วย
“Facial Recognition” แทนการสแกนลายนิ้วมือ ที่ได้มีการพัฒนาและใช้ในพื้นที่ต่างๆ ในออฟฟิศของบริษัทกลุ่มเซ็นทรัล
“Smart Shelf” ระบบชั้นวางของอัจฉริยะ ที่แจ้งเตือนพนักงานได้แบบ Real Time เมื่อสินค้าในชั้นวางของนั้นกำลังจะหมดลง ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการเติมสินค้าบนชั้นนั้นเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ศูนย์ Central Tech Retail Lab” (CTRL) ศูนย์ทดลองเทคโนโลยีค้าปลีกสำหรับนวัตกรสตาร์ทอัพ โดยร่วมมือกับอะเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (AWS) เพื่อเป็นจุดศูนย์รวมของทั้งนักศึกษา นักลงทุน ผู้ประกอบการสตาร์ทอัพทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ต้องการพบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แบ่งปันความรู้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่จะช่วยสร้างนวัตกรไทยหน้าใหม่ และด้วยความที่กลุ่มเซ็นทรัลมีหลายธุรกิจ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร และโรงแรม ทั้งในไทยและต่างประเทศ จึงต้องการให้โครงการนี้ เป็นพื้นที่สรรหาผู้ผลิตนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับกลุ่มเซ็นทรัล
“เครื่องช่วยตรวจจับอุณหภูมิอัจฉริยะ” ถูกพัฒนาต่อยอดจากนวัตกรรมกล้องสแกนใบหน้าที่ใช้อยู่แล้ว นำมาใช้ที่ท็อปส์ มาร์เก็ต, ท็อปส์ เดลี่ และ แฟมิลี่มาร์ท โดยเพิ่มฟังก์ชันให้สามารถตรวจจับอุณหภูมิในร่างกายของผู้ที่สแกนใบหน้าได้อัตโนมัติ สามารถวัดอุณหภูมิร่างกาย แม้จะใส่หน้ากากอนามัยอยู่ก็ตาม พร้อมมีระบบแจ้งเตือนหากพบว่าผู้ตรวจวัดอุณหภูมิไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย โดยไม่ต้องมีการสัมผัส เพื่อช่วยลดโอกาสการเข้าใกล้กันระหว่างพนักงานกับลูกค้า
และนี่คือ 2 Engine ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และ Data ให้กับ “กลุ่มเซ็นทรัล” ให้สามารถแข่งขันได้ และทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่าง Hyper-Personalizaiton
เพราะคู่แข่งในวันนี้ไม่ใช่แค่ระดับประเทศ และในอุตสาหกรรมเดียวกันเท่านั้น แต่ในยุค Globalization คือ บริษัทระดับ Global Company ที่ขยายอาณาจักรด้วยการสร้าง Business Ecosystem ที่เชื่อมต่อทั้งแพลตฟอร์ม Physical และ Digital โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยี, ข้อมูลจำนวนมหาศาล องค์ความรู้ เงินทุน และการขยับตัวได้เร็วในการบุกตลาดทั่วโลก