สถานการณ์โควิด-19 กระทบอุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างมาก ทั้งการล็อกดาวน์และไม่มีหนังใหม่เข้าฉาย ตั้งแต่เดือนมีนาคม-กรกฎาคม แม้ประเทศไทยกลับมาปกติแล้ว แต่สหรัฐฯ ยังคงมีการระบาดอยู่ ทำให้ปีนี้หนังฟอร์มยักษ์ฝั่งฮอลีวู้ดต้องเลื่อนฉาย ภาพรวมรายได้หนังจาก 4,000-5,000 ล้านบาท ปีนี้คงได้เห็นแค่ 1,000 ล้านบาทเท่านั้น
ต้องถือเป็นปีที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์ หนังไทย และโรงหนังอยู่ในอาการสาหัส จากวิกฤติโควิด เพราะภาพรวมอุตสาหกรรมหนัง 8 เดือน (ม.ค-ส.ค.) ปีนี้ ทำรายได้รวมไป 580 ล้านบาท มีหนังไทยออกฉาย 15 เรื่องรวมรายได้ 120 ล้านบาทเท่านั้น ไม่มีเรื่องไหนถึง 50 ล้านบาท ขณะที่ช่วง 8 เดือนแรกปี 2562 อุตสาหกรรมหนังทำรายได้ 3,000 ล้านบาท และทั้งปีอยู่ที่ 4,000-4,500 ล้านบาท
แม้จะเริ่มเห็นสัญญาณหนังใหม่ลงโรง ในเดือนสิงหาคม-กันยายน เริ่มจาก Train to Busan 2 , Tenet , Mulan ที่ทำให้ตัวเลขรายได้ดีขึ้น และไตรมาสสุดท้ายปีนี้ มีหนังต่างประเทศฟอร์มยักษ์วางโปรแกรมและหนังไทยอีก 7-8 เรื่องออกฉาย แต่ทั้งปี 2563 ภาพรวมน่าจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท เรียกว่ารายได้ลดลงไปหนักมาก
GDH ได้ละครช่วย รอดโควิด
ส่วนสถานการณ์ของค่ายหนังสาย Feel Good ปีนี้เป็นอย่างไร คุณจินา โอสถศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด เล่าให้ฟังว่านับตั้งแต่ปี 2559 ในยุค GDH ปกติจะทำหนังปีละ 2-3 เรื่องเท่านั้น ปี 2563 เดิมวางแผนไว้ 2 เรื่อง และละครฉลาดเกมส์โกง 1 เรื่อง แต่สถานการณ์โควิด ทำให้ปีนี้ จะมีหนังออกฉาย 1 เรื่อง คือ “อ้าย..คนหล่อลวง” ของผู้กำกับ เมษ ธราธร ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้ เนื่องจากช่วงล็อกดาวน์ ไม่สามารถถ่ายทำหนังได้ทันออกฉายปีนี้
หนัง “อ้าย..คนหล่อลวง” เป็นแนวสนุกคลายเครียด น่าจะได้รับความสนใจจากผู้ชม เป็นหนังที่ GDH คาดหวังสูง ตั้งเป้า Box Office ไว้ที่ 80 ล้านบาท หากได้ตัวเลขนี้ก็จะทำให้ทั้งปีมีรายได้รวม 330-340 ล้านบาท ไม่ถึงกับขาดทุน
ปีนี้ GDH ยังโชคดีที่มีละคร 1 เรื่องคือ “ฉลาดเกมส์โกง” ฉายจบไปแล้วทางช่อง ONE 31 และ WeTV ซึ่งกระแสตอบรับดีทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ ทำให้มีรายได้จากการขายสิทธิ์ในแพลตฟอร์ม OTT ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศประมาณ 2 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการจัดจำหน่ายภาพยนตร์ ซีรีส์ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศ การฉายในโรงภาพยนตร์ และการฉายบน application และ platforms ต่างๆ อาทิ WeTV, Netflix, LINE TV, AIS Play, True ID ฯลฯ และทีวี
ปีหน้าลุ้นโปรเจกต์ยักษ์ “บุพเพสันนิวาส2”
ปี 2564 GDH วางไลน์อัพหนังไว้ 4 เรื่อง เริ่มด้วยเดือนเมษายน หนังของผู้กำกับ “กอล์ฟ-ปวีณ ภูริจิตปัญญา” เรื่อง “โกสต์แล็บ..ฉีกกฎทดลองผี” (เลื่อนจากปี 2563) นำแสดงโดย ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร ,ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต และนางเอกช่อง 3 ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์
ตามด้วยหนังร่วมทุนกับค่ายหนังชื่อดังในประเทศเกาหลี Showbox Corp. ผลิตภาพยนตร์เรื่อง “ร่างทรง” กำกับโดย “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” และ “นา ฮงจิน” ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ชื่อดังระดับโลก มาร่วมเป็นโปรดิวเซอร์ เป็นหนังที่ GDH จะโกอินเตอร์ ขยายกลุ่มคนดูต่างชาติ
นอกจากนี้ GDH ยังร่วมทุนกับ “นาดาว บางกอก” ผลิตภาพยนตร์เรื่อง “W” เป็นครั้งแรกของนาดาว ในการทำหนัง โดยมี “ปิง-เกรียงไกร วชิรธรรมพร” ที่สร้างผลงานเรื่องฮอร์โมนมากำกับ และได้ “ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์” รับหน้าที่โปรดิวเซอร์
ปิดท้ายเดือนธันวาคมกับโปรเจกต์ยักษ์ลงทุนสร้าง 80 ล้านบาท ร่วมทุนกับ บรอดคาซท์ ไทยเทเลวิชั่น ผลิตภาพยนตร์ “บุพเพสันนิวาส2” ที่จะสร้างปรากฎการณ์จากละครสู่หนังไทย โดยได้พระนางจากละคร “พี่หมื่น” โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ และ “ออเจ้า” เบลล่า-ราณี แคมเปน มาร่วมแสดง หนังบุพเพสันนิวาส 2 ใช้ทีมงาน GDH เขียนบท กำกับโดย ปิ๊ง-อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม จากผู้กำกับรถไฟฟ้ามาหานะเธอ
“ละครบุพเพสันนิวาส เป็นมากกว่าปรากฎการณ์ ละครทำไว้ดีมาก ทั้งเรื่องประวัติศาสตร์และความสนุก แต่หนังจะไม่ได้เล่าแบบเดิม วางโปรแกรมฉายไว้เดือนธันวาคม 2564 เป็นหนังคั่นกลาง ก่อนละครพรหมลิขิต (บุพเพสันนิวาส ภาคต่อ) จะออนแอร์ต่อเนื่องในปี 2565”
เชื่อว่าหนังบุพเพสันนิวาส 2 น่าจะประสบความสำเร็จ เป็นหนังสนุกที่ดีงาม เหมือนกับ “พี่มาก พระโขนง” ที่เมื่อเป็นละครและหนังก็มีหลายเวอร์ชั่น แต่ความแตกต่างอยู่ที่คนทำว่าจะนำเสนอมุมไหน หนังบุพเพสันนิวาส 2 จะนำเนื้อหาในบทประพันธ์ของ “รอมแพง” มาขยายต่อ เป็นเรื่องใหม่เล่าไปข้างหน้าจากสมัยอยุธยามาถึงราชวงศ์จักรี ไม่ใช่เรื่องที่เหมือนละคร แต่เนื้อหาจะส่งต่อไปยังละครพรหมลิขิต
GDH มีความคาดหวังกับเรื่องหนังบุพเพสันนิวาส 2 ไว้สูง เชื่อว่าจะได้ผู้ชมทั้งแฟน GDH และฐานผู้ชมละครที่ชื่นชอบบุพเพฯ หวังว่าจะประสบการณ์ได้เหมือนพี่มาก พระโขนง ที่ยุคนั้นทำเงินเฉพาะในกรุงเทพฯ 567 ล้านบาท แต่บุพเพฯ หวังไว้ราว 200 ล้านบาท
ปี 2564 อุตสาหกรรมหนังน่าจะกลับมาฟื้นได้ และมีหนังไทยเข้าฉาย 45-50 เรื่องเหมือนเดิม ส่วน GDH ที่วางโปรแกรมไว้ 4 เรื่อง รวมรายได้จากการฉายในไทยและต่างประเทศ และการขายสิทธิ์ผ่านแพลตฟอร์ม OTT ปี 2564 ก็น่าจะเห็นรายได้ 500 ล้านบาท
“เชื่อว่าภาพยนตร์ ยังเป็นคอนเทนท์ที่ต้องดูในโรงหนัง เพื่อได้ประสบการณ์ที่ดีและโรงหนังยังเป็นสถานที่ที่คนมาแล้วมีความสุข จึงเป็นความท้าทายของผู้ผลิตหนังไทย ต้องสร้างคอนเทนท์ที่ดีและแตกต่างดึงคนออกมาดูหนังให้ได้”