ธุรกิจการท่องเที่ยว นับเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรรมที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศเป็นจำนวนมากมาตลอด โดยคิดเป็นสัดส่วนถึง 15-20% ของ GDP แต่จากสถานการณ์ระบาดของวิกฤติโควิด-19 ทำให้มีการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงอย่างมาก การหันมาทำตลาดนักท่องเที่ยวในประเทศ จึงเป็นหนึ่งในทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้
ทว่าเมื่อพูดถึงการเดินทางท่องเที่ยว ปฎิเสธไม่ได้ว่า “วันหยุด” เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว การที่วันหยุดนักขัตฤกษ์อยู่ติดกับเสาร์อาทิตย์ หรืออยู่กลางสัปดาห์ ดูจะส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวที่แตกต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะการเที่ยวในประเทศที่ใช้เวลาไม่กี่วัน โดยแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจและมีต้นทุนทางเศรษฐกิจที่ต่ำ คือ การสลับวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่อยู่กลางสัปดาห์ หรือที่เรียกกันว่าวันหยุดฟันหลอ ให้มาหยุดติดกับวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อสร้างวันหยุดยาวแทน ซึ่งวิธีการนี้น่าจะสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ โดยใช้วันหยุดเท่าเดิม Krungthai Compass ได้วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภคในการเดินทางระหว่างวันหยุดแบบต่างๆ รวมถึงผลกระทบต่อการท่องเที่ยวอย่างน่าสนใจ
วันหยุดต่าง พฤติกรรมการเดินทางก็แตกต่าง
ผู้คนส่วนใหญ่มักเลือกเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดในช่วงวันหยุดยาวมากเป็นพิเศษ แต่สิ่งที่เรามักไม่ทราบแน่ชัดคือ ผู้คนนิยมเดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ปกติหรือวันหยุดตรงกลางระหว่างสัปดาห์ขนาดไหน อย่างไรก็ดี ด้วยข้อมูลดัชนีการขอใช้เส้นทางขับรถจาก Apple Map ทำให้เห็นภาพดังกล่าวได้ชัดเจนขึ้น
จากข้อมูลการขอใช้เส้นทางขับรถจาก Apple Map แสดงให้เห็นว่า ผู้คนมักไม่ค่อยขอใช้เส้นทางนักในช่วงวันธรรมดา (ยกเว้นวันศุกร์ที่ผู้คนมักมีการสังสรรค์กันตอนเย็น ตลอดจนเดินทางออกต่างจังหวัด) แต่มักมีการขอเส้นทางในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และยิ่งมีการขอเส้นทางขับรถกันมากขึ้นในช่วงวันหยุดยาว เช่น ในช่วงวันหยุดยาวที่ 4-7 ก.ค. วันที่ 25-28 ก.ค. วันที่ 4-7 ก.ย. เป็นต้น (อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้คนขอเส้นทางน้อยกว่า หากวันหยุดยาวตรงกับช่วงที่มีมรสุม อย่างวันที่ 4-7 ก.ย.) และมีการขอใช้เส้นทางไม่มากนักในวันหยุดตรงกลางสัปดาห์ เช่น วันที่ 12 ส.ค.
เมื่อคำนวณค่าเฉลี่ยการขอใช้เส้นทางต่อวันสำหรับวันประเภทต่างๆ ยังแสดงให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ค่าเฉลี่ยการขอใช้เส้นทางจะมีมากที่สุดในหมวดวันหยุดยาว ตามมาด้วยวันหยุดสุดสัปดาห์ ในขณะที่วันหยุดนักขัตฤกษ์ที่อยู่กลางสัปดาห์ อย่างเช่น วันที่ 12 ส.ค. มีคนขอเส้นทางน้อยที่สุดในหมวดวันหยุดด้วยกัน
คนใช้ Map เยอะขึ้น แล้วอัตราการพักเพิ่มขึ้นตามหรือไม่?
เมื่อพิจารณาข้อมูลค่าเฉลี่ยยอดผู้ขอเส้นทาง Apple Map รายเดือน กับอัตราการเข้าพัก (OR) ที่เผยแพร่รายเดือนในรูปแบบดัชนีที่มีค่าฐานที่เดือนมกราคม พบว่าค่าดัชนีทั้งสองในช่วง ม.ค. – ส.ค. มักเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ในช่วง เม.ย. จะเห็นได้ว่าแม้ดัชนี Apple Map จะฟื้นตัวกลับมาในจุดเดิมได้ในเดือน ก.ค. แต่ค่า OR กลับฟื้นตัวไม่มากเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะการขอเส้นทาง Apple Map อาจขึ้นอยู่กับการขอเส้นทางขับรถของคนในประเทศมากกว่า ทำให้เวลาคนในประเทศกลับมาเดินทางเหมือนเดิม ค่าดัชนีจึงกลับมาได้เร็ว ในขณะที่ค่า OR ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่มาก (ในปี 2019 รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมีสัดส่วนรายได้ถึง 64% ของรายได้ท่องเที่ยวทั้งหมด) การที่ในช่วงนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเข้ามาพักที่ไทยได้ ทำให้ค่า OR ไม่สามารถฟื้นตัวได้มากนัก
ไม่เพียงแค่นั้น หากพิจารณาลึกลงไปในระดับจังหวัด ก็จะพบว่าค่าดัชนีทั้งสองมีความสัมพันธ์กันเช่นกัน โดยค่า OR และดัชนี Apple Map ในแต่ละจังหวัด จุดแต่ละจุดแสดงถึงข้อมูลของแต่ละจังหวัด แสดงเห็นได้ว่าตั้งแต่มีการคลายล็อคดาวน์ (เดือน มิ.ย. ถึง ส.ค.) ค่าเฉลี่ยการขอใช้เส้นทาง Apple Map มีความสัมพันธ์ไปกับอัตราการพักของจังหวัดนั้นๆ โดยเฉลี่ย กล่าวคือ จังหวัดที่มีค่า Apple Map สูงก็มีแนวโน้มที่จะมีค่า OR สูงตามไปด้วย
วันหยุดยาว การท่องเที่ยวทุกจังหวัดคึกคักขึ้น
หลายคนอาจสงสัยว่า เมื่อมีวันหยุดยาวแล้ว อาจทำให้บางพื้นที่เสียประโยชน์หรือไม่ อย่างเช่น พอมีวันหยุดยาว นักท่องเที่ยวเลือกที่จะไปท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้ๆ น้อยลง แต่ไปจังหวัดที่ไกลขึ้นแทน หรือคนในเมืองใหญ่อาจเดินทางออกนอกเมือง ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจในเมืองลดลง
Krungthai Compass จึงคำนวณค่าเฉลี่ยของดัชนี Apple Map ที่ต่างกันระหว่างช่วงวันหยุดยาว และวันหยุดสุดสัปดาห์ที่มีวันหยุดสองวัน เพื่อให้เห็นว่าเมื่อมีวันหยุดยาวแล้ว บางพื้นที่มีผู้ขอใช้เส้นทางน้อยลงหรือไม่ เทียบกับวันหยุดธรรมดา โดยผลแสดงให้เห็นว่า จังหวัดแทบทุกจังหวัดมียอดใช้ Apple Map ที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสื่อถึงการเดินทางและการพักแรมที่มากขึ้น เมื่อมีวันหยุดยาว โดยมีเพียงกรุงเทพฯ เท่านั้นที่มียอดผู้ใช้ Apple Map ลดลง ซึ่งก็ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งผลดังกล่าวพอจะบอกได้ว่าเมื่อมีวันหยุดยาว กิจกรรมท่องเที่ยวโดยรวมในแทบทุกจังหวัดมีความคึกคักมากขึ้น
ช่วยกระตุ้นรายได้ท่องเที่ยวเพิ่ม 30%
จากผลการวิเคราะห์ดัชนี Apple Map และค่า OR ประเมินว่า ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้คนจะเดินทางท่องเที่ยวและพักแรมมากกว่าในช่วงวันธรรมดาประมาณ 50% ในขณะที่การเดินทางและพักแรมในช่วงวันหยุดยาวมีมากกว่าช่วงวันธรรมดาประมาณ 1 เท่าตัว ดังนั้น การสลับวันหยุดกลางสัปดาห์ให้กลายเป็นวันหยุดยาว ใน 1 ครั้ง คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ท่องเที่ยวได้มากขึ้นถึง 30% ในจำนวนวันหยุดที่เท่าเดิม ซึ่งคิดเป็นมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านบาท สำหรับในช่วงที่คนไทยใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวน้อยลงอย่างในปีนี้ และอาจเพิ่มรายได้ได้มากถึง 3.7 พันล้านบาท หากคนไทยใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวเท่ากับในช่วงปี 2019 (ในปี 2019 รายได้ท่องเที่ยวจากคนไทยมีมูลค่าสูงถึง 2.1 หมื่นล้านบาทต่อสัปดาห์ แต่ในปีนี้ แม้จะมีการเปิดเมืองแล้ว ค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวเหลือเพียงสัปดาห์ละประมาณ 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น)
การประเมินข้างต้นทำให้เห็นภาพว่า การสร้างวันหยุดยาวช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ อย่างไรก็ดี หากเป็นเช่นนั้นแล้ว จะดีกว่าหรือไม่ที่จะเพิ่มวันหยุดขึ้น เพื่อสร้างวันหยุดยาวแทนการสลับวันหยุดเท่านั้น? ในประเด็นนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนอยู่ เนื่องจากการเพิ่มวันหยุดอาจมีผู้ที่ต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น เช่น ผู้ประกอบการที่ต้องหยุดการดำเนินงาน แต่ยังต้องจ่ายค่าแรงลูกจ้างอยู่ หรือ หากผู้ประกอบการเลือกที่จะหยุดตามที่ภาครัฐประกาศ ลูกจ้างประเภทที่ได้ค่าแรงรายวันก็อาจเป็นฝ่ายที่ต้องเสียประโยชน์เนื่องจากต้องขาดรายได้จากการทำงานไป นอกจากนี้ หากผู้ประกอบการเลือกที่จะไม่หยุดตามที่ภาครัฐประกาศ (ซึ่งเป็นเรื่องที่สามารถทำได้) ประสิทธิภาพในการกระตุ้นการท่องเที่ยวก็อาจไม่มากดังที่ภาครัฐคาดไว้
สลับวันหยุดช่วยกระตุ้นท่องเที่ยว แต่มีข้อควรระวัง
ในช่วงที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคท่องเที่ยวประสบความท้าทายอย่างหนัก เช่นเดียวกับภาครัฐที่กำลังเผชิญกับความท้าทายด้านหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความคุ้มค่าทางต้นทุนจึงยิ่งทวีความสำคัญขึ้น ทาง Krungthai Compass พบว่าการสลับวันหยุดกลางสัปดาห์ มาให้ชนกับวันหยุดสุดสัปดาห์ในแต่ละครั้ง สามารถช่วยกระตุ้นรายได้จากการท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้นกว่า 1.7 พันล้านบาท โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มวันหยุด
จากการประเมินของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นสามารถลดจำนวนผู้กู้ที่อาจมีปัญหาในการชำระหนี้ได้อย่างมาก ดังนั้น การกระตุ้นการท่องเที่ยวในที่นี้จึงไม่ได้มีผลดีกับเฉพาะกับธุรกิจโรงแรมเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์กับภาคครัวเรือนอีกด้วย เฉพาะแรงงานในอุตสาหกรรมที่พักแรมและร้านอาหารก็มีจำนวนกว่า 2.8 ล้านรายแล้ว
ดังนั้น แม้ว่าการสลับวันหยุด จะช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการท่องเที่ยวของผู้คนได้ แต่มีข้อพึงระวังบางประการ เช่น การประกาศที่กระชั้นไปอาจทำให้นักท่องเที่ยววางแผนไม่ทัน นอกจากนี้ การสร้างวันหยุดยาวที่ตรงกับช่วงมรสุมก็อาจทำให้คนไม่ออกมาท่องเที่ยวมากอย่างที่ควรจะเป็น