ปฏิเสธไม่ได้ว่า นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบอย่างหนักต่อตลาดแรงงานไทย ส่วนหนึ่งต้องยอมว่ามาจากมาตรการ Lockdown เพื่อควบคุมการระบาด ทำให้วงจรธุรกิจถูกตัดขาด เมื่อธุรกิจต้องปิดให้บริการ ส่งผลให้กิจการขาดรายได้และเงินทุนหมุนเวียน ความต้องการแรงงานก็ลดลง บางรายไม่ไหว ก็ต้องลดจำนวนพนักงานหรือปิตกิจการกันไป
สะท้อนชัดจากตัวเลขการตกงานจากบทวิเคราะห์ของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ ในไตรไมาส 2 ที่สูงถึง 7.5 แสนคน หรือคิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.95% ต่อกำลังแรงงานรวม ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 11 ปี ทั้งยังมีแรงงานที่ต้องหยุดงานชั่วคราวจำนวนสูงถึง 2.5 ล้านคน สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และถึงแม้สถานการณ์โควิด-19 จะดีขึ้น มีการคลาย Lockdown แต่ข้อมูลจาก EIC พบว่า ตลาดแรงงานไทยยังอยู่ในสภาวะซบเซาและต้องใช้เวลานานในการกลับสู่ภาวะปกติ
ตลาดแรงงานไทยมีความ “อ่อนแอ” ตั้งแต่ก่อนวิกฤติ
จากผลสำรวจทั้งจำนวนผู้มีงานทำและจำนวนชั่วโมงทำงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การใช้เทคโนโลยีทดแทนแรงงาน และการออกจากกำลังแรงงานตามแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สะท้อนให้เห็นว่ารายได้จากการทำงานของคนไทยในภาพรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และเมื่อเข้าสู่ช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่เศรษฐกิจทรุดตัวลงรุนแรงในช่วงครึ่งแรกปี 2563 ตลาดแรงงานที่มีความ อ่อนแอ อยู่เป็นทุนเดิมยิ่งได้รับ แรงกดดัน เพิ่มขึ้น แม้ล่าสุดตลาดแรงงานจะเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้นบ้างจากอัตราการว่างงานที่ลดลง แต่สถานการณ์โดยรวมก็ยังถือว่าซบเซากว่าในอดีตค่อนข้างมาก
โดย SCB EIC ได้ประเมินสัญญาณความอ่อนแอของตลาดแรงงานไทยไว้อย่างน่าสนใจ 4 เรื่อง ดังนี้
1.อัตราการว่างงานของแรงงานในระบบประกันสังคมยังคงเพิ่มสูงขึ้น
ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นช่วงที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดต่ำสุดและมีการ Lockdown ในวงกว้าง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจจำนวนมากต้องหยุดชะงัก สถานการณ์ในตลาดแรงงานจึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในทันที โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 7.5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าถึงเกือบเท่าตัว โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานในทุกอุตสาหกรรม ส่งผลให้อัตราการว่างงานในภาพรวมเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 2.0% ต่อกำลังแรงงานรวม จากเพียง 1.0% ในไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 11 ปี
ทั้งนี้ หลังรัฐบาลมีการคลายล็อกดาวน์ หลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่ ทิศทางของอัตราการว่างงานในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งผ่านช่วงการล็อกดาวน์ไปแล้วยังคงอยู่ในแนวโน้มถดถอย โดยอัตราการว่างงานในเดือนกรกฎาคม ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่ 2.2% ด้วยจำนวนผู้ว่างงานสูงถึง 8.3 แสนคน
ขณะที่อัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคม ยังอยู่ที่ 1.9% ต่อกำลังแรงงานรวม จากจำนวนผู้ว่างงานที่ลดลงมาอยู่ที่ 7.2 แสนคน ซึ่งถือเป็นอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับที่สูงหากเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต (ช่วงปี 2013-2019) ที่อยู่ที่เพียงราว 1.0% ต่อกำลังแรงงานรวม สะท้อนว่าตลาดแรงงานยังไม่ได้เข้าสู่ภาวะปกติ
แม้อัตราการว่างงานในภาพรวมจากข้อมูลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติจะลดลงในเดือนสิงหาคม แต่สำหรับแรงงานในระบบประกันสังคมยังคงเพิ่มขึ้น โดยอัตราการว่างงานตามระบบประกันสังคมในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 3.9% ต่อแรงงานประกันสังคมมาตรา 33 ทั้งหมด เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากอัตราการว่างงานในไตรมาส 2 และเดือนกรกฎาคมปีนี้ที่อยู่ที่ 2.8% และ 3.7% ตามลำดับ บ่งชี้ว่า ลูกจ้างในระบบที่ตกงานมีการย้ายไปสู่การเป็นแรงงานนอกระบบมากขึ้น เช่น อาชีพอิสระ งานรับจ้าง หรือธุรกิจส่วนตัว ซึ่งอาจมีรายได้ที่น้อยกว่า
2.กลุ่มแรงงานอายุน้อย (15-24 ปี) ยังมีปัญหาการว่างงานในระดับสูง
อีกความน่ากังวลที่สำคัญคือ การว่างงานของแรงงานอายุน้อยของไทย (youth unemployment) ที่อยู่ในระดับสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นมาโดยตลอด โดยในวิกฤติโควิด-19 ปัญหาดังกล่าวยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยอัตราการว่างงานของกลุ่มแรงงานอายุน้อยได้เพิ่มขึ้นไปเป็น 8.6% ต่อกำลังแรงงานอายุน้อยทั้งหมดในไตรมาส 2 ปี 2563 และเพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องไปที่ระดับ 9.8% ในเดือนกรกฎาคม สอดคล้องกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นในต่างประเทศที่การจ้างงานของแรงงานอายุน้อยได้รับผลกระทบมากกว่าแรงงานกลุ่มอายุอื่นๆ เช่น ในสหรัฐฯ ที่อัตราการว่างงานของกลุ่มเยาวชนเพิ่มจาก 7.7% ในเดือนกุมภาพันธ์ ไปอยู่ที่ 25.2% ในเดือนพฤษภาคม สูงกว่าอัตราการว่างงานในภาพรวมที่อยู่ที่ 13.3% ในเดือนเดียวกัน
แม้อัตราการว่างงานของแรงงานอายุน้อยจะลดลงไปอยู่ที่ 8.0% ในเดือนสิงหาคม แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้การว่างงานในกลุ่มแรงงานอายุน้อยนั้นยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญของตลาดแรงงาน ทั้งนี้เพราะแรงงานอายุน้อยส่วนใหญ่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานและการว่างงานจะทำให้เกิดการขาดช่วงของการสร้างทักษะและสั่งสมประสบการณ์จากการทำงาน จึงสร้างความเสียเปรียบอย่างมากในการแข่งขันหางานกับกลุ่มแรงงานอายุมากกว่าที่มีประสบการณ์การทำงานที่มากกว่าซึ่งอาจยอมลดค่าจ้างของตนเองเพื่อให้ได้งานโดยเร็ว
3.จำนวนแรงงานที่ต้องหยุดงานชั่วคราวยังสูงกว่าในอดีต
ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นช่วงที่ตลาดแรงงานได้รับแรงกดดันอย่างหนักจากทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจ มาตรการ Lockdown และการหยุดชะงักของกิจกรรมการผลิต ทำให้หลายกิจการมีการพักงานลูกจ้าง รวมถึงมีคนทำงานอิสระจำนวนมากไม่สามารถออกไปประกอบอาชีพได้ ส่งผลให้จำนวนผู้ที่ยังมีงานทำแต่ต้องหยุดงานชั่วคราว (furloughed workers) จึงเพิ่มขึ้นไปอยู่สูงถึง 2.5 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่กว่า 82.4% ระบุว่าไม่ได้รับค่าจ้าง
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการผ่อนคลาย Lockdown หลายกิจการได้กลับมาดำเนินการตามปกติ ส่งผลให้จำนวน furloughed workers ลดลงไปอยู่ที่ 7.5 และ 4.4 แสนคน ในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ตามลำดับ
แต่ทั้งนี้จำนวน furloughed workers ในช่วง 2 เดือนล่าสุดยังถือว่าอยู่สูงกว่าหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีจำนวนอยู่ที่เพียงราว 1-1.5 แสนคนเท่านั้น ส่วนหนึ่งคาดว่ามีสาเหตุจากการที่หลายกิจการยังไม่สามารถกลับมาดำเนินกิจการได้เท่าศักยภาพในอดีต จึงยังไม่สามารถดูดซับแรงงานที่ต้องหยุดงานในช่วง Lockdown ได้หมด การเพิ่มขึ้นของจำนวน furloughed workers จึงนับเป็นอีกความน่ากังวลของตลาดแรงงานไทย เพราะบางส่วนอาจกลายเป็นคนตกงานได้ในท้ายที่สุดหากกิจการขาดสภาพคล่องจนต้องลดคนหรือปิดกิจการ
4.สัดส่วนการทำงานต่ำระดับยังคงเพิ่มขึ้น
แนวโน้มของสัดส่วนการทำงานต่ำระดับที่มากขึ้นจากช่วงล็อกดาวน์ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง ในไตรมาส 2 งานเต็มเวลา (งานที่ทำตั้งแต่ 35 ถึงไม่เกิน 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) และงานล่วงเวลา (งานที่ใช้เวลาทำมากกว่า 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ขึ้นไปหรืองานโอที) มีจำนวนลดลงรวมกันสูงถึง 4.8 ล้านคน ขณะที่จำนวนงานต่ำระดับ (งานที่ทำเกิน 0 ถึงไม่เกิน 35 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) รวมถึงจำนวนการหยุดงานชั่วคราวกลับเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 4.1 ล้านคนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมงานเต็มเวลาและล่วงเวลาก็ยังคงลดลง ขณะที่งานต่ำระดับยังคงเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยงานเต็มเวลาและล่วงเวลาลดลงประมาณ 2.1 ล้านคนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่งานต่ำระดับเพิ่มขึ้นถึง 1.9 ล้านคน แนวโน้มดังกล่าวนี้เป็นอีกหนึ่งเครื่องชี้ที่สะท้อนถึงกำลังในการจ้างงานของภาคเอกชนที่ถดถอยลง จึงไม่สามารถจ้างงานเต็มเวลาและล่วงเวลาในจำนวนที่มากเท่าในช่วงก่อนหน้าได้ รวมถึงยังอาจเป็นผลของการออกนอกระบบของแรงงานที่เคยทำงานประจำที่มีชั่วโมงทำงานสูงกว่า ไปสู่งานอิสระที่มักมีชั่วโมงการทำงานน้อยกว่า ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวนี้สะท้อนว่ารายได้ของแรงงานมีแนวโน้มลดลง และยังไม่ฟื้นตัว
ตลาดแรงงานยังฟื้นตัวได้ไม่เร็ว
โดย EIC มองว่า ปัญหาการว่างงานจะยังคงอยู่ในระดับสูงและฟื้นตัวได้ไม่เร็วจากแนวโน้มการปิดกิจการของภาคธุรกิจที่ยังเร่งตัว ในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 28 สิงหาคม 2020 มีจำนวนธุรกิจที่แจ้งเลิกกิจการกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารวมทั้งสิ้นราว 1.4 หมื่นราย เพิ่มขึ้น 9.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และถึงแม้จะมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ไปแล้ว การปิดกิจการก็ยังเพิ่มในอัตราที่เร่งขึ้น โดยในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม การปิดกิจการขยายตัวที่ 29.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และในช่วง 28 วันแรกของเดือนสิงหาคม ก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในอัตราเร่งที่ 34.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าเป็นผลมาจากการขาดรายได้ของกิจการขณะที่สภาพคล่องมีไม่เพียงพอ กิจการที่ปิดตัวลงนี้จะส่งผลทำให้แรงงานในกิจการนั้นๆ ต้องว่างงานลง
ขณะที่กำลังการดูดซับแรงงาน (จ้างงาน) ของภาคธุรกิจมีลดน้อยลงตามภาวะเศรษฐกิจที่มีส่วนทำให้การเปิดกิจการของภาคธุรกิจก็ลดน้อยลงตามไปด้วย โดยในช่วงวันที่ 1 มกราคม – 28 สิงหาคม 2020 จำนวนการจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ลดลง -12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
สอดคล้องกับข้อมูลประกาศรับสมัครงานบนเว็บไซต์ Jobsdb.com ที่วันที่ 27 ก.ย.-3 ต.ค. จำนวนประกาศรับสมัครงานเฉลี่ยยังต่ำกว่าช่วงสัปดาห์ก่อนมีมาตรการปิดเมือง (วันที่ 21-27 มี.ค.) ถึง -20.8% โดยต่ำกว่าในทุกอุตสาหกรรมและระดับเงินเดือน สะท้อนให้เห็นว่าภาวะการจ้างงานยังคงซบเซาเป็นวงกว้างแม้ว่ามาตรการล็อกดาวน์จะถูกผ่อนคลายลงมากแล้วก็ตาม
โดยคาดว่าในระยะข้างหน้ารายได้ภาคธุรกิจยังคงมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่พึ่งพารายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องรอความชัดเจนในด้านการพัฒนาวัคซีนและการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้แนวโน้มการเปิด-ปิดกิจการจะยังคงซบเซาและกระทบต่อการจ้างงานในระยะถัดไป
แม้เศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ ในระยะข้างหน้า แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งยืนยันว่าตลาดแรงงานจะฟื้นตัวได้ในลักษณะเดียวกัน เพราะหลายธุรกิจมีการปรับตัวในด้านการลดต้นทุนด้านบุคลากรทั้งโดยการปรับวิธีการทำงานและการนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าและบริการได้โดยใช้แรงงานต่อหน่วยน้อยลง ทำให้ความต้องการแรงงานในระยะยาวสำหรับงานหลายประเภทอาจไม่กลับมาเหมือนเดิมก็เป็นได้ แนวโน้มดังกล่าวนี้ก็จะทำให้ค่าจ้างฟื้นตัวได้ช้าตามไปด้วยเช่นกัน การฟื้นตัวของตลาดแรงงานที่ช้าจะชะลอการฟื้นตัวของรายได้ภาคครัวเรือน ส่งผลกระทบต่อไปยังความเชื่อมั่นผู้บริโภคและถือเป็นแรงกดดันต่อการใช้จ่ายผู้บริโภคซึ่งจะกระทบไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกำลังซื้อของผู้บริโภค
ปัญหาในตลาดแรงงานอาจส่งผ่านสู่ปัญหาในภาคการเงิน
การตกงานและสูญเสียรายได้ของแรงงานในวงกว้างอาจนำไปสู่ความเสี่ยงในภาคการเงินผ่านช่องทางสินเชื่อ (credit channel) โดยจากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2562 พบว่า ภาคครัวเรือนเองมีความเปราะบางอยู่มากจากหนี้ที่อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับรายได้อยู่ก่อนหน้า โดยภาระหนี้ของครัวเรือนเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้เฉลี่ยอยู่ถึง 98.5% ต่อรายได้ทั้งปีของครัวเรือน ซึ่งเมื่อเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจที่รายได้ลดลงมากสัดส่วนหนี้ดังกล่าวจะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก นอกจากนี้ ครัวเรือนยังมีกันชนทางการเงินน้อย กล่าวคือ ครัวเรือนไทยสัดส่วนถึงกว่า 59.8% มีสินทรัพย์ทางการเงินรวมไม่พอใช้จ่ายเกิน 3 เดือน
ทั้งนี้ เมื่อครัวเรือนได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากรายได้ที่ลดลงจากการทำงาน จึงยิ่งทำให้คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนจำนวนมากมีแนวโน้มด้อยลง มาตรการพักชำระหนี้สำหรับลูกหนี้รายย่อยที่ออกมาในช่วงที่ผ่านมาจึงมีส่วนช่วยลดทอนความเสี่ยงในส่วนนี้ได้ไม่น้อย โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 สินเชื่อรายย่อยที่ได้รับความช่วยเหลือผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ มีจำนวนอยู่ที่ราว 5.8 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลค่าอยู่ที่ 2.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นราว 17.5% เมื่อเทียบกับมูลค่าหนี้ครัวเรือนรวม ณ ไตรมาส 2 ปี 2563
เพราะฉะนั้น ตลาดแรงงานไทยยังอยู่ในภาวะซบเซา การประคับประคองตลาดแรงงานยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะกลายเป็นแผลเป็นระยะยาว (scarring effect) โดยการเพิ่มทักษะและปรับทักษะ (upskill and reskill) ของแรงงานจะเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ต้องทำควบคู่ เพื่อยกระดับผลิตภาพของแรงงานไทยในระยะยาว อันจะทำให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้อย่างแข็งแรง