HomeBrand Move !!ใน 5 ปี ค้าปลีกไทย ขยับสู่ “Omni-channel” เต็มรูปแบบ! แล้ว “เซ็นทรัล” ทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างไร ?

ใน 5 ปี ค้าปลีกไทย ขยับสู่ “Omni-channel” เต็มรูปแบบ! แล้ว “เซ็นทรัล” ทรานส์ฟอร์มธุรกิจอย่างไร ?

แชร์ :

CRC Omni-channel

พัฒนาการธุรกิจค้าปลีกในไทย เริ่มต้นจากยุค Brick-and-mortar” หรือร้านออฟไลน์ ต่อมาในช่วงกว่า 10 – 20 ปีมานี้ มีการค้าออนไลน์ หรือ e-Commerce ที่เดิมทีมีแต่เว็บไซต์ ขณะที่ปัจจุบันอยู่ในรูปแบบแอปพลิเคชัน ขณะเดียวกันช่องทางช้อปปิ้งออนไลน์ ได้ขยายมาสู่ Social Commerce (การซื้อขายบนแพลตฟอร์ม Social Media) และ Conversational Commerce (การซื้อขายบนแพลตฟอร์มแชท)

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ในอดีต ร้านออฟไลน์ และออนไลน์ แบ่งแยกออกจากกัน ทั้งสินค้า โปรโมชั่น แบรนด์ การให้บริการ

แต่ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยี กระแส Globalization ที่ทำให้ทั่วโลกเชื่อมโยงเข้าหากัน และพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความสะดวกที่ทำให้สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ ทุกเวลา ตอบโจทย์ความครบวงจร  และรู้ใจเขาหรือไม่ ประกอบกับทั้งช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ ต่างมี “จุดเด่น” และ จุดอ่อน” ในตัวเอง

ทำให้ Retail Landscape จากนี้ไป เข้าสู่ยุค “Omni-channel” นั่นคือ การผสานระหว่างออฟไลน์​ และออนไลน์อย่างไร้รอยต่อ (Seamless) โดยมีเทคโนโลยี และ Data เป็นแกนกลางผสานการเชื่อมโยงทั้ง 2 ขั้วรีเทลเข้าด้วยกัน

โดยคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปีจากนี้ ธุรกิจค้าปลีก และแบรนด์ต่างๆ ในไทย จะขยับไปสู่ Omni-channel เต็มรูปแบบ เมื่อเทรนด์ค้าปลีกมาทางนี้ “เซ็นทรัล” ในฐานะเป็นพี่ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกรูปแบบ Physical ในไทย จึงต้องทรานส์ฟอร์มธุรกิจไปสู่แพลตฟอร์ม Omni-channel

CRC Omni-channel

 

ใน 5 ปี โมเดลค้าปลีกไทย ทรานส์ฟอร์มสู่ “Omni-channel” เต็มรูปแบบ

“ภายใน 5 ปี ธุรกิจค้าปลีก และแบรนด์ต่างๆ ในไทย ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล เดอะมอลล์​ กรุ๊ป Pomelo LAZADA จะมาในทิศทาง Omni-channel เพราะเป็นเทรนด์แห่งอนาคตของทุกคน” คุณนิโคโล กาลันเต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ฉายภาพทิศทางค้าปลีกในอนาคต

การเกิดขึ้นของ Omni-channel คือ การดึงเอาจุดเด่นทั้ง Physical Store/Shop กับแพลตฟอร์มออนไลน์ผสานเข้าด้วยกัน และเชื่อมต่อทั้งสองช่องทางนี้ เพื่อนำเสนอ Seamless Experience ให้กับลูกค้าได้อย่างไม่มีสะดุด

เนื่องจากทั้งรูปแบบ Physical Store หรือหน้าร้าน และ Online Platform ต่างมี “ข้อจำกัด” ในตัวเอง นั่นคือ

ข้อจำกัดของ Physical Store ประกอบด้วย

– พื้นที่ร้านจำกัด

– ระยะทางการเดินทางไปที่ร้าน

– เวลาในการให้บริการจำกัด

– สินค้าหมด

– รอคิวในการรับบริการ

ข้อจำกัดของ Online Platform ประกอบด้วย

– สัมผัสสินค้าไม่ได้

– ทดลองสวมใส่ไม่ได้

– ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพนักงาน

– ไม่มีบริการหลังการขาย

– รอเวลาในการขนส่ง

CRC Omni-channel

เพราะฉะนั้นการพัฒนาโมเดล Omni-channel ทำให้ลูกค้าสามารถกำหนดได้เองว่า จะเลือกซื้อ – เลือกรับสินค้าจากช่องทางไหน และเลือกชำระในรูปแบบใด

ไม่ว่าลูกค้าต้องการทดลองสินค้า หรือได้สัมผัสของจริง ก่อนตัดสินใจซื้อ ก็สามารถมาที่หน้าร้าน และในขั้นตอนการซื้อ ลูกค้าเลือกซื้อได้จากช่องทางที่ตัวเองสะดวก ทั้งจากหน้าร้าน หรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมทั้งการรับสินค้า ลูกค้าเลือกได้ว่าจะมารับเองที่ร้าน หรือให้จัดส่งถึงบ้าน เช่นเดียวกับการเปลี่ยนคืนสินค้า

“จุดเด่นหน้าร้าน คือ เมื่อลูกค้าซื้อ ได้สินค้าทันที โดยไม่ต้องรอ แต่ถ้าช่องทางออนไลน์ ต้องรอ 1 – 2 วัน ไปจนถึงสัปดาห์ แต่ถ้าเป็น Omni-channel ที่ช่องทางต่างๆ รวมกัน ลูกค้าจะได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น

เช่น ลูกค้าเปิดเว็บไซต์ดูสินค้า ในระหว่างนั้น เขาสามารถทำกิจกรรมอื่นๆ ไปด้วย จากนั้นเมื่อเจอสินค้าถูกใจ ต้องการซื้อ คลิ๊กซื้อ ลูกค้าสามารถเลือกไปรับสินค้าได้ที่สโตร์

หรือในกรณีที่ลูกค้าอยู่ที่ร้าน ปรากฏว่าสินค้าที่ต้องการซื้อ หมดสต็อคภายในร้านสาขานั้นๆ หรือไม่มีขนาด หรือสีที่ต้องการ พนักงานประจำร้านจะเปิดแท็บเล็ต เพื่อให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าที่ต้องการผ่านออนไลน์ได้ โดยลูกค้าเลือกได้ว่าจะให้สินค้านั้นจัดส่งมาที่ร้าน แล้วมารับอีกที หรือส่งไปที่บ้านเลย เพราะฉะนั้นรูปแบบ Omni-channel เป็นการนำเอาจุดเด่นของ Physical Store กับ Online มารวมกัน”​

CRC Omni-channel

คุณนิโคโล กาลันเต้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

 

เปิดโมเดล Omni-channel เซ็นทรัล และสถิติยอดขาย  

ภายใต้ยุทธศาสตร์ New Central New Retail ของ “เซ็นทรัล รีเทล” (Central Retail Corporation) หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาจาก Multi-category, Multi-format ที่มีสินค้าครอบคลุมทั้งกลุ่มแฟชัน ฮาร์ดไลน์ และฟู้ด ในหลากหลายรูปแบบค้าปลีก ไปสู่โมเดล “Omni-channel” ผนึกทั้ง 3 ส่วนเข้าด้วยกันคือ

– ออนไลน์

– หน้าร้าน

– ช่องทางการขายใหม่ (New Channels) เช่น Chat & Shop, Call & Shop, Facebook, LINE

นับตั้งแต่ปี 2562 ที่เซ็นทรัล รุกสร้าง Omni-channel อย่างจริงจัง ในปีนั้นมีลูกค้าเซ็นทรัล 3% ที่ซื้อสินค้ารูปแบบ Omni-channel

ขณะที่ในปี 2563 สัดส่วนลูกค้าเซ็นทรัลที่ซื้อสินค้าแบบ Omni-channel เพิ่มขึ้นไปเป็น 10% ปัจจัยสำคัญมาทั้งจากเซ็นทรัล ได้พัฒนาประสบการณ์การช้อป Omni-channel ให้ดีขึ้น ด้วยช่องทางการช้อปที่หลากหลาย และเพิ่มมีสินค้ามากขึ้น

CRC Omni-channel

คุณนิโคโล ให้เหตุผลว่าโมเดล Omni-channel ของเซ็นทรัลยังมีสัดส่วนลูกค้า 10% ถือว่ายังไม่มากนัก เนื่องจาก

1. เพิ่งพัฒนาโมเดลการให้บริการรูปแบบนี้

2. ระบบซับซ้อน เนื่องจากสินค้าที่จัดส่งให้ลูกค้า มีทั้งมาจาก Distribution Center และร้านสาขา ซึ่งร้านมีสาขาทั่วไทย ทำให้ระบบสต็อคสินค้ามีความซับซ้อนกว่าการที่สินค้าถูกจัดส่งจาก DC ที่เดียว ดังนั้นจึงต้องค่อยๆ ทยอยเพิ่มสินค้าเข้าไปในระบบ เพื่อลดความผิดพลาดของขั้นตอนต่างๆ

3. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง จากทุกวันนี้ผู้บริโภคคุ้นเคยกับการสั่งซื้อสินค้า และรอสินค้ามาส่งที่บ้านภายใน 1 – 2 วัน แต่อนาคต ผู้บริโภคอาจคุ้นเคยกับการสั่งออนไลน์ แล้วมารับเองที่ร้าน เพราะฉะนั้นเซ็นทรัล ต้องสร้างการรับรู้ถึงบริการที่มี

“เรามองว่า การสร้าง Omni-channel ต้องดำเนินการอย่างรัดกุม และรอบคอบ ไม่เร่งพัฒนาเกินไป เพราะจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้มาก อันส่งผลต่อประสบการณ์ลูกค้า จึงต้องค่อยๆ พัฒนา เพื่อให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด”

CRC Omni-channel

ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทลที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Omni-channel ได้แก่

1. เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต และไทวัสดุ สินค้า 100% ของ 3 เชนค้าปลีกนี้ อยู่บน Omni-channel

2. กลุ่มแฟชันในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสัน 50%

3. กลุ่มอาหาร 50 – 100%

4. บีทูเอส น้อยกว่า 50%

รวมแล้วมีสินค้าบนแพลตฟอร์ม Omni-channel เกือบ 1,000,000 รายการ (SKUs)

ประกอบกับสถานการณ์ COVID-19 ที่ภาครัฐต้องประกาศ Lockdown ในช่วงเวลาหนึ่ง และทำให้ประชาชนต้องอยู่กับบ้านมากขึ้น โดยใช้ชีวิต ทั้งทำงาน และเรียนที่บ้าน ส่งผลให้ธุรกิจออนไลน์ และแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างๆ เติบโตอย่างรวดเร็ว

CRC Omni-channel

ถึงแม้ในปีนี้ ศูนย์การค้า และห้างสรรพสินค้าต้องปิดให้บริการหน้าร้านชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันกลายเป็นโอกาสให้กับ “Omni-channel” ของเซ็นทรัลด้วยเช่นกัน โดยใน 2563 สถานการณ์ COVID-19 เป็นตัวเร่งให้แพลตฟอร์ม Omni-channel ต่างๆ ของเซ็นทรัลเติบโตอย่างก้าวกระโดด  

ไตรมาส 1 เป็นช่วงก่อนสถานการณ์ COVID-19 ในไทยจะระบาด มีอัตราการเติบโต 99%

ไตรมาส 2 เป็นช่วง COVID-19 ระบาด และภาครัฐใช้มาตรการ Lockdown ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น ส่งผล Omni-channel ของเซ็นทรัล รีเทล โต 4 เท่า หรือ 344%

ไตรมาส 3 เป็นช่วงสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศคลี่คลาย ภาครัฐปลด Lockdown และคนกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ – ไปเรียนที่โรงเรียน ทำให้การเติบโตลดลงมาหน่อย อยู่ที่ 230%

ขณะที่ภาพรวมทั้ง 9 เดือนของปี 2563 พบว่า Omni-channel ของเซ็นทรัล เติบโต 230% หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

CRC Omni-channel

เมื่อเจาะลึกการเติบโต 3 กลุ่มสินค้าหลักของ Omni-channel เซ็นทรัล ประกอบด้วย

– แฟชั่น ไตรมาส 3 เติบโต 335% และช่วง 9 เดือน เติบโต 309%

– ฮาร์ดไลน์ ไตรมาส 3 เติบโต 98% และช่วง 9 เดือนเติบโต 139%

– อาหาร ไตรมาส 3 เติบโต 89% และช่วง 9 เดือนเติบโต 107%

หากเจาะลึกแต่ละ Category สินค้าที่มีการเติบโตสูงสุดบน Omni-channel ของเซ็นทรัล คือ

– ผลิตภัณฑ์ความงาม ไตรมาส 3 เติบโต 162% และช่วง 9 เดือนเติบโต 285%

– สินค้ากีฬา ไตรมาส 3 เติบโต 136% และช่วง 9 เดือนเติบโต 76%

– ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับบ้าน และครัว ไตรมาส 3 เติบโต 65% และช่วง 9 เดือนเติบโต 173%

– ทีวี และสินค้าเอนเตอร์เทนเมนท์ ไตรมาส 3 เติบโต 118% และช่วง 9 เดือนเติบโต 195%

ส่วนในช่วงมหกรรมช้อปปิ้ง 11.11 ปรากฏว่าปีนี้ เป็นปีที่ยอดขาย Omni-channel ทั้งหมดของเซ็นทรัล (ออนไลน์ + ช่องทางการขายใหม่ + หน้าร้าน) ทำได้ 789 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอยู่ที่ 663 ล้านบาท การเพิ่มขึ้นนั้น หลักๆ มาจากออนไลน์ มียอดขาย 230 ล้านบาท และช่องทางการขายใหม่ 85 ล้านบาท ในขณะที่หน้าร้าน 475 ล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว หน้าร้านมียอดขาย 504 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นเทรนด์การช้อปปิ้งผู้บริโภค มายัง “ออนไลน์” มากขึ้น

CRC Omni-channelCRC Omni-channel

 

กฎ 80 : 20 สร้างยอดขาย Omni-channel “เซ็นทรัล” ไม่แข่งสงครามราคากับแพลตฟอร์ม e-Marketplace

เป็นที่ทราบกันดีว่าทุกวันนี้ช้อปปิ้งออนไลน์ ไม่ว่าจะผ่านแพลฟอร์มเว็บไซต์ แอปพลิเคชันรายใหญ่อย่าง LAZADA Shopee แข่งสงครามราคากันอย่างรุนแรง ทั้งตัวแพลตฟอร์มเอง และร้านค้าในนั้น จนกระทบต่อผลประกอบการธุรกิจ ยิ่งในช่วงแคมเปญมหกรรมช้อปปิ้ง กระหน่ำทั้งโปรโมชัน และลดราคา เพื่อแย่งชิงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ในวงกว้าง

เนื่องจากโมเดลธุรกิจของ e-Marketplace ทั้ง 2 แพลตฟอร์มใหญ่ โฟกัสที่ตลาดโปรดักต์ Mass ซึ่งคิดเป็นฐานพีรามิดที่มีสัดส่วนมากถึง 80% ของภาพรวม e-Commerce ในไทย ถึงแม้ปัจจุบันเปิด Official Online Mall เพื่อให้แบรนด์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ทั้งแบรนด์ระดับโลก และแบรนด์ไทยมาเปิดช้อปออนไลน์บนแพลตฟอร์มแล้วก็ตาม อย่าง LAZADA มี LazMall ส่วน Shopee มี Shopee Mall แต่ปริมาณ Transaction ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม มาจาก Mass Market มากกว่า

ดังนั้น ปัจจุบันบรรดาแพลตฟอร์ม e-Marketplace รายใหญ่ยังคงอยู่ในสภาวะ “ขาดทุน”​ เพราะยังอยู่ในช่วงเวลาสร้างฐานธุรกิจ และสิ่งที่แพลตฟอร์ม e-Marketplace ต้องการในขณะนี้ คือ สร้างการเติบโตของทั้ง Transaction จำนวนผู้ใช้งาน ฐานข้อมูลลูกค้า (Big Data) และความถี่ในการใช้งาน เพื่อนำไปต่อยอดทางธุรกิจในอนาคต โดยไม่หยุดอยู่แค่การเป็น e-Marketplace เท่านั้น

ในขณะที่โมเดลธุรกิจ Omni-channel ของเซ็นทรัล แตกต่างจากแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์อื่น ตรงที่เซ็นทรัลโฟกัสสินค้าไลฟ์สไตล์ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำ แม้สัดส่วนของสินค้ากลุ่มนี้มีเพียง 20% ของภาพรวมตลาด e-Commerce ซึ่งเป็นส่วนยอดพีรามิด และจำนวนผู้ใช้งาน – ปริมาณ Transaction ไม่ได้มากเหมือน Mass Market แต่เซ็นทรัลมองว่า ด้วยโมเดลธุรกิจนี้ จะสามารถสร้างผลกำไรได้ดีกว่า

CRC Omni-channel

อันที่จริงแล้วโมเดล Omni-channel ของเซ็นทรัลที่โฟกัสยอดบนพีรามิด 20% สอดคล้องกับหลักพาเรโต 80 : 20 ที่ผลลัพธ์ 80% มาจากตัวแปร 20%

ดังนั้น สัดส่วน 20% ที่อยู่บนแพลตฟอร์ม Omni-channel ของเซ็นทรัล มาจากการต่อยอดความได้เปรียบทางการแข่งขันที่เป็นทั้งจุดยืน และจุดแข็งมายาวนานของเซ็นทรัล นั่นคือ แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์ ในตลาดกลาง –  บน ทำให้ 20% ที่โฟกัส สามารถสร้างยอดขายให้ได้มากถึง 80%

Omni-channel ของเซ็นทรัลมียอดขายสูง ในขณะที่ปริมาณ Transaction อาจไม่ได้สูงมากนัก เพราะถ้าทำเน้นแต่ปริมาณ Transaction อย่างเดียว ทำโปรโมชันเยอะๆ ตามที่เห็นในแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์อื่น เราคิดว่าไม่ใช่โมเดลธุรกิจที่เหมาะกับเซ็นทรัล ทั้งในการให้บริการ และความสามารถในการทำกำไร

เนื่องจากเราต้องการนำเสนอสินค้า และบริการที่มีคุณภาพ ลูกค้าเปลี่ยนสินค้าคืนได้ ดังนั้น 20% ที่เป็นทาร์เก็ตของเรา จะสร้างมูลค่าให้กับแพลตฟอร์ม Omni-channel ของเซ็นทรัล และสร้างประสบการณ์การช้อปที่ดีให้กับลูกค้า”

CRC Omni-channel

 

5 กลยุทธ์ผลักดัน Omni-channel เซ็นทรัลเต็มรูปแบบ 100%

เป้าหมายแพลตฟอร์ม Omni-channel ของเซ็นทรัล ในปี 2564 – 2565 คือ

ปี 2564

– ผลักดันให้สามารถใช้แพลตฟอร์ม Omni-channel ได้อย่างครบวงจร

– รายการสินค้าเพิ่มเป็น 2,000,000 SKUs

– สัดส่วนลูกค้า Omni-channel เพิ่มเป็น 15 – 20%

ปี 2565

– ทุกร้านในเครือเซ็นทรัลรีเทล จะอยู่บนแพลตฟอร์ม Omni-channel

– รายการสินค้าเพิ่มเป็น 3,000,000 SKUs

การจะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ “เซ็นทรัล”​ ได้กำหนด 5 กลยุทธ์ ดังนี้

1. Online Assortment Growth เพิ่มรายการสินค้าที่วางขายบนแพลตฟอร์ม Omni-channel

2. Central Application พัฒนาแอปพลิเคชัน Central ต่อเนื่อง หลังจากเปิดให้ใช้งานได้แล้ว นับเป็นการลงทุนใหญ่ของเซ็นทรัล รีเทลในปีนี้ และจะเริ่มทำการโปรโมทแอปฯ ในเดือนธันวาคมนี้

3. Cross-listing นำร้านค้าในกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล จะมาอยู่บนแพลตฟอร์ม Omni-channel เดียวกัน เพื่อให้ลูกค้าช้อปปิ้งสินค้าต่างๆ ได้ครบในที่เดียว เพราะต่อไปโมเดล Omni-channel ของเซ็นทรัล จะครอบคลุมทุกร้านค้า

4. Unique Omni-channel Experience นำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีขึ้น เช่น มี Option ให้ลูกค้าเลือกได้ว่าจะรับสินค้าที่ไหน อย่างเว็บไซต์ Central ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าให้จัดส่งสินค้าไปที่บ้าน หรือส่งที่ร้าน หรือมารับสินค้าเอง ควบคู่กับการปรับปรุงระบบโลจิสติกส์

หรือแบรนด์พาวเวอร์บาย เป็นค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล รีเทลแรกที่พัฒนาบริการ Omni-channel ตั้งแต่ปี 2562 ปัจจุบันมี 4 Option ลูกค้าเลือกได้ว่าให้จัดส่งที่บ้าน ส่งไปร้านค้า มารับสินค้าเอง และส่งถึงบ้านภายใน 3 ชั่วโมงในกรณีที่มีสินค้าอยุ่ในสต็อค และสาขานั้นๆ ใกล้บ้านลูกค้า

5. New Sales Channels พัฒนาช่องทางการขายใหม่ จากปัจจุบันที่มี Chat & Shop, Call & Shop, Facebook, LINE ต่อไปจะเพิ่มช่องทางการเข้าถึงที่หลากหลายมากขึ้น

CRC Omni-channel

“มุมมองของลูกค้าที่มีต่อโมเดล Omni-channel ของเซ็นทรัลคือ ลูกค้าพึงพอใจในบริการ และประสบการณ์ที่ได้รับ แต่อยากให้มีความสเถียรมากขึ้น และครอบคลุมทุกร้าน ทุกแบรนด์

เรามองว่าการกระตุ้นยอดขายด้าน Omni-channel ให้เติบโตคือ ต้องยกระดับประสบการณ์ในการช้อปปิ้งออนไลน์ของลูกค้า พร้อมทั้งปรับปรุงระบบโลจิสติกส์ และรวมร้านค้าให้อยู่ในที่เดียว เพื่อเมื่อเวลาลูกค้าเข้ามาแล้วเจอสินค้าทุกอย่างที่เขาต้องการ

ขณะเดียวกันต้องหาแรงกระตุ้นให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้น มีส่วนร่วม เช่น การเพิ่มเกมลงไปบนแพลตฟอร์ม และยังคงพัฒนาหน้าร้านให้มีความทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งขณะนี้เรากำลังทดลองร้านค้าปลีกระบบ Automation สำหรับกลุ่มอาหาร โมเดลคล้ายกับที่สหรัฐฯ มี Amazon Go และในจีน คาดว่าจะได้เห็นในประเทศไทยในอนาคต” คุณนิโคโล สรุปทิ้งท้าย


แชร์ :

You may also like