ก่อนเกิดโควิด-19 ธุรกิจไทยก็ผ่านศึกหนักต้องรับมือกับ Technology Disruption มาแล้วตลอดช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ยังปรับตัวไม่ทัน ดูได้ง่ายๆ บริษัทในกลุ่ม Traditional ไม่ได้มีบริการอะไรเกิดขึ้น ทั้งธุรกิจใหม่หรือนวัตกรรมใหม่ ทำให้ช่วงโควิดจึงมีอาการ “สาหัส” เพราะสร้างธุรกิจใหม่เกาะแพลตฟอร์มดิจิทัลไม่ทัน หลังจากนี้ธุรกิจไทยมีเวลาอีกไม่มากในการปรับตัวเข้าสู่เทคโนโลยีใหม่ เพราะเมื่อโควิดจบลงทุกคนไม่ใช่แค่เดิน แต่ต้องแข่งกันวิ่ง
ผู้เชี่ยวชาญในสายเทคโนโลยี บี๋ อริยะ พนมยงค์ อดีตผู้บริหาร Tech Company จาก Google ประเทศไทย และ LINE ประเทศไทย หลังจากก้าวออกจากตำแหน่ง ประธาน บีอีซี เวิลด์ (ช่อง 3) ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้เลือกเส้นทางการทำงานใหม่เป็น “ผู้ก่อตั้ง” บริษัท Transformational ด้าน Venture Builder มีหน้าที่สร้างธุรกิจใหม่ให้กับบริษัทเดิมที่ต้องทรานส์ฟอร์มให้ทันกระแสเทคโนโลยี Disrupt
“การตัดสินใจตั้งบริษัท Transformational ขึ้นมา เพราะเห็นว่าในช่วงโควิด ทุกบริษัทต้องการทรานส์ฟอร์มตัวเองไปหาโอกาสใหม่ๆ เพราะวันนี้พูดได้ว่าหลังชนฝาแล้ว มาถึงจุดที่ต้องทรานส์ฟอร์มธุรกิจให้ได้”
นั่นคือสิ่งที่ คุณอริยะ ตัดสินใจตั้งบริษัทขึ้นมาเมื่อ 2 เดือนก่อน มีทีมงานราว 10 คน เพื่อทำหน้าที่เป็น Venture Builder บริษัทที่มุ่งสร้างธุรกิจและแหล่งรายได้ใหม่ให้กับธุรกิจเดิม เป็นการเข้าไปสร้างนวัตกรรมใหม่ (Innovation as a service) เปรียบได้กับเครื่องจักรผลิตสตาร์ทอัปจำนวนมากออกสู่ตลาด และนี่คือสิ่งที่เขาบอกว่าถนัด
ทั้งกระแส Disrupt และวิกฤติโควิดที่เกิดขึ้น เห็นชัดว่าองค์กรที่มีบริการด้านเทคโนโลยีรองรับยังไปต่อได้ ส่วนองค์กรที่ไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้มาก่อนจึงกระทบมากกว่า อย่างช่วงล็อกดาวน์ กลุ่มที่มีแพลตฟอร์มออนไลน์ยังทำธุรกิจได้ แต่กลุ่มที่ไม่มีก็เจ็บหนัก
การอยู่ในสถานการณ์โควิดมาเกือบ 1 ปี และเริ่มข่าวดีเรื่องวัคซีนแล้ว มาถึงเวลานี้ทุกคนคงกำลังเร่งทำแผนฟื้นฟูธุรกิจ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือ หากยังใช้แผนธุรกิจเดิมปี 2020 มาใช้ในปี 2021ก็ไม่มีทางกลับมาที่จุดเดิมได้ จึงเป็นจังหวะที่ต้องคิดและทำอะไรที่แตกต่างจากเดิม
“มาถึงวันนี้มองว่าธุรกิจต่างๆ มีเวลาเหลืออีกแค่ 1 ปี ที่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้ได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะถึงสิ้นปี 2021 สถานการณ์โควิดจะคลี่คลาย น่าจะกลับสู่ปกติได้ หลังจากเริ่มมีการใช้วัคซีนในสิ้นปีนี้เมื่อโควิดจบทุกธุรกิจก็พร้อมออกวิ่งอีกครั้ง คำถามวันนี้ เมื่อถึงวันนั้นใครพร้อมออกตัวได้เร็วกว่าก็เป็นผู้ชนะ คงไม่สามารถมาซ้อมวิ่งปีหน้าได้ การเตรียมสร้างธุรกิจใหม่จึงต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้”
โฟกัสบริษัทไทยทรานส์ฟอร์มสร้างธุรกิจใหม่
รูปแบบการทำงานของ บริษัท Transformational จะโฟกัสไปที่บริษัทไทย องค์กรขนาดใหญ่สัญชาติไทย คุณอริยะ ให้เหตุผลว่าเพราะเป็นความตั้งใจตั้งแต่ต้นเมื่อลาออกจาก Tech Company ของต่างชาติ ก็มาทำงานให้กับ ช่อง 3 ที่เป็นองค์กรไทย
บริษัท Transformational จึงมีเป้าหมายต้องการทำงานกับบริษัทไทย เพื่อทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่โลกการค้ายุคใหม่ หากต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วผู้นำองค์กรไทย ระดับซีอีโอที่เป็นเจ้าของ จะตัดสินใจได้เร็วกว่าบริษัทต่างชาติ เพราะอำนาจการบริหารไม่ได้อยู่ในประเทศไทย ดังนั้นในมุมของการเป็นที่ปรึกษาจะทำงานได้เร็วกว่าการเป็นผู้บริหาร และสามารถช่วยทำงานได้หลายองค์กร
“ตระกูลใหญ่ๆ ที่ถือครองธุรกิจในเมืองไทย หากทำเรื่องทรานส์ฟอร์มอย่างจริงจัง จะทำให้เกิดอิมแพ็คต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง”
ปัจจุบันบริษัทไทยขนาดใหญ่มี Asset มีฐานลูกค้า มีดาต้าจำนวนมาก แต่วันนี้ธุรกิจส่วนใหญ่ยังอยู่ในโลกออฟไลน์ หน้าที่ของบริษัทคือการช่วยสร้างแพลตฟอร์ม ที่แต่ละองค์กรทำธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นค้าปลีก หรือธุรกิจอื่น ๆ เพื่อสร้างธุรกิจใหม่และรายได้ใหม่ในอนาคต
การใช้งาน “ดิจิทัล แพลตฟอร์ม” ต่างชาติที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ยูทูบ ไลน์ โซเชียลมีเดียต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นการใช้บริการด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง แต่หากต้องการเปลี่ยนแปลงธุรกิจตัวเองให้มีบริการและรายได้ใหม่ จะต้องสร้างแพลตฟอร์มของแต่ละองค์กรขึ้นมาเอง นวัตกรรมที่เรียกว่าเป็น Disruption ที่แท้จริง หากไม่ไปแตะที่โปรดักท์หรือสร้างธุรกิจที่เป็นเรื่องใหม่ ที่เป็นอนาคตของบริษัท การเปลี่ยนแปลงก็คงไม่เกิดขึ้น ก็จะวนอยู่กับเรื่องเดิม ๆ
ช่วงโควิดจะเห็นได้ว่าธุรกิจ Traditional ลำบาก แต่ “อีคอมเมิร์ซ” ในประเทศไทยยังเติบโต 35% ในปีนี้ เชื่อว่าไม่มีอุตสาหกรรมไหนเติบโตได้มากเท่า นี่คือตัวอย่างของพลังเทคโนโลยี
วันนี้การ “โก ดิจิทัล” เป็นสิ่งที่องค์กรอยากเปลี่ยน เพราะเห็นได้ชัดในช่วงโควิดว่า “บ้านหลังเก่า”กระทบหนักและถึงเวลาที่ต้องลงมือสร้างบ้านใหม่ให้เป็นอีกแหล่งรายได้ในอนาคต
นั่งที่ปรึกษา “สยามพิวรรธน์” ลงทุนสตาร์ทอัป
หลังเปิดตัวบริษัท คุณอริยะ ประเดิมรับงานที่ปรึกษาด้านดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น และสร้างบริการใหม่ธุรกิจแพลตฟอร์มให้ สยามพิวรรธน์ ยักษ์ใหญ่ค้าปลีก เจ้าของและผู้บริหารโครงการ อาทิ สยามพารากอน สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ หนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ “ไอคอนสยาม” และสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต
โดยมีภารกิจปรับเปลี่ยน สยามพิวรรธน์ ไปสู่ Digital Transformation เต็มรูปแบบ สร้างประสบการณ์ดิจิทัล ด้วยการนำนวัตกรรมและ Data Powered Marketing มาใช้ประโยชน์ในการสร้างบริการและแหล่งรายได้
งานที่ปรึกษาทรานส์ฟอร์มองค์กรแต่ละโครงการเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสร้างบริการใหม่ การทำงานให้แต่ละองค์กรจึงใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี ด้วยกำลังทีมงานที่มีอยู่ บริษัท Transformational จึงรับเป็นที่ปรึกษาปีละ 4 โปรเจกต์เท่านั้น
อีกบทบาทของ คุณอริยะ คือเป็นผู้ลงทุนในสตาร์ทอัป “สเกาท์เอาท์” (ScoutOut) ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้บริการระบบการสรรหาบุคลากรแบบครบวงจร Total Recruitment Ecosystem หรือ HR Tech startup ที่มีผู้ใช้ระบบกว่า 9 ล้านคน นอกจากนี้ยังทำเรื่องการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้กับคนทำงาน กับโปรเจกต์ “Scout Skill” ช่วยเหลือองค์กรในการคัดเลือกพนักงานให้ตรงตามความต้องการของแต่ละธุรกิจ
สิ่งสำคัญที่ควรต้องรีบทำสำหรับทุกคนและทุกองค์กรนั้นคือ Re-Skill และ Up-Skill การสร้างหรือเพิ่มเติมทักษะใหม่ๆ ที่จำเป็นและเข้ากับโลกยุคปัจจุบัน วันนี้ผลกระทบจากโควิด องค์กรต่างๆ มุ่งใช้เทคโนโลยี มาสร้างบริการใหม่ๆ ให้องค์กรไปต่อได้ บุคลากรจึงจำเป็นต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงโลกธุรกิจยุคใหม่
วันนี้ “เทคโนโลยี” เป็นเรื่องของปัจจุบัน ไม่ใช่อนาคต ก่อนโควิดมี Disruption อยู่ก่อนแล้ว แต่ส่งที่โควิดทำคือ เร่งการ Disruption ให้เร็วขึ้น สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจว่าใช่จังหวะที่ควรลงทุนกับเทคโนโลยี เพื่อสร้างบริการหรือธุรกิจในรูปแบบใหม่หรือไม่ ลองเปรียบเทียบธุรกิจ Fortune 500 บริษัทที่อยู่ใน ท็อป 10 วันนี้ และเมื่อ 10 ปีก่อน จะเห็นได้ว่า 7 ใน 10 บริษัทวันนี้เป็นบริษัทเทคโนโลยีและมาร์เก็ตแคป เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อเทียบ 10 ปีก่อน
เทคโนโลยี จึงไม่ใช่แค่สิ่งที่สวยหรูในการสร้างบริการรูปแบบใหม่ แต่เป็นสิ่งที่สร้างมูลค่าและอนาคตให้ธุรกิจได้