การก้าวสู่โลกยุคอินเทอร์เน็ต (Internet World) ส่งผลให้พฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคถูกเปลี่ยนไปยังฝั่งอีคอมเมิร์ซมากขึ้น การแข่งขันของแพลตฟอร์มจึงเริ่มจาก “มันนี่ เกม” ทุ่มเม็ดเงินกับโปรโมชั่นดึงผู้ใช้งานมาอยู่ใน Ecosystem ของตัวเอง แต่การยืนหนึ่งในพื้นที่อีคอมเมิร์ซได้ยาวต้องอยู่ใน “ดาต้า เกม” เพราะวันนี้ธุรกิจขับเคลื่อนด้วย “ดาต้า” ใครนำมาใช้ได้มากกว่าคนนั้นกำชัยชนะ
ปี 2020 ที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนจากโควิด-19 เพื่อเตรียมรับมือกับปี 2021 Brand Buffet จัดเสวนาประจำปี BRAND TALK ครั้งที่ 20 “UNLOCK THE FUTURE 2021 : ปลดล็อคอนาคตสู่โลกการตลาดยุคใหม่” โดย คุณณัฐธิดา สงวนสิน ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการ บริษัท บัซซี่บีส์ จำกัด (Buzzebees) ได้มาให้มุมมองในเรื่อง Essentials for Future Entrepreneurs เพื่อสร้างโอกาสไปต่อในโลกอีคอมเมิร์ซ
หากดูผู้นำระดับโลกในธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่าง Amazon กับ Alibaba ทั้ง 2 รายอยู่ในสมรภูมิที่เรียกว่า “ดาต้า เกม” ที่นำข้อมูลฐานลูกค้ามาสร้างโอกาสทางการขายได้อย่างแม่นยำและต่อยอดสู่ธุรกิจใหม่
ส่วนตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นานเป็นสนามแข่งของแพลตฟอร์มต่างชาติระดับบิ๊ก อย่าง Lazada Shopee JD Central ช่วงเริ่มสร้างฐานลูกค้าจึงเป็นการแข่งขัน “มันนี่ เกม” ทุ่มเม็ดเงินมหาศาลจัดโปรโมชัน เพื่อดึงคนเข้ามาใช้บริการ ส่วนใหญ่ผลประกอบการยังอยู่ในภาวะขาดทุน แต่ไม่ใช่เป็นการเผาเงินไปฟรีๆ เพราะนี่คือจังหวะของการเก็บดาต้า และสุดท้ายการแข่งขันจะเปลี่ยนไปสู่ “ดาต้า เกม” เช่นเดียวกับหลายๆ ตลาดที่อีคอมเมิร์ซ ครองอำนาจเป็นช่องทางหลักในการจับจ่าย
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Lazada Shopee JD ที่เป็นระดับ Global Mall มีความได้เปรียบในการหาแหล่งสินค้าถูกจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาจำหน่าย โดยส่งสินค้าตรงมาถึงผู้บริโภคผ่านแอปพลิเคชั่น จะเห็นได้ว่า อีคอมเมิร์ซ เป็น Globalization มากขึ้น วันนี้เส้นแบ่งการค้าขายระหว่างประเทศจึงหายไป ทุกคนมีช่องทางการเข้าถึงสินค้าราคาถูกจากแหล่งผลิตได้ด้วยตัวเองผ่านตลาดอีคอมเมิร์ซ นั่นหมายถึง “ผู้นำเข้า” สินค้าจากต่างประเทศ กำลังถูก Disrupt ด้วยอีคอมเมิร์ซ ผู้ประกอบการ SMEs และแบรนด์ในประเทศไทยก็มีคู่แข่งเพิ่มขึ้น
ในด้านเทคโนโลยี IoT ที่ทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ฉลาดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ของใช้ในการใช้ชีวิตประจำวัน ล้วนทำให้เกิด Data Collection ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเข้าถึงความต้องการผู้บริโภคอย่างแม่นยำ
“ในโลกยุคอินเทอร์เน็ตการมาถึงของเทคโนโลยี จะมาแบบสึนามิ หากไม่พร้อมจะถูกถล่มทันที เหมือน SMS ที่โดน Chat App แทนที่ภายใน 1 ปี Nokia ถูกแทนด้วย iPhone กล้องฟิล์มถูกแทนที่ด้วยกล้องดิจิทัล สินค้าต่างๆ ไม่สามารปฏิเสธการถูก Disrupt ได้ เพราะผู้บริโภคจะย้ายไปสู่สิ่งที่สะดวกกว่าเสมอ แบรนด์ต่างๆ ต้องคิดตลอดเวลาว่าหากถูก Disrupt จะปรับตัวอย่างไร เพื่อให้อยู่รอดได้”
“3 เรื่อง” ที่ต้องมีเกาะเทรนด์ธุรกิจอนาคต
ในยุคที่ธุรกิจและเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจะอยู่รอดได้ ต้องปรับตัวไม่ให้ถูก Disrupt ทั้งการสื่อสารและการทำธุรกิจ โดยใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ มาดู 3 เรื่องที่เป็นเทรนด์การทำธุรกิจวันนี้และในอนาคต
1.Aggregators แพลตฟอร์ม อีคอมเมิร์ซและฟู้ดเดลิเวอรี่ ที่กลายเป็นช่องทางสำคัญของผู้ประกอบการและแบรนด์เข้าไปนำเสนอสินค้าอยู่บนแพลตฟอร์มเหล่านี้ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
2.Build your own database อย่างที่รู้กันว่าการค้าขายในยุคอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มต่างชาติครองตลาดอยู่ในขณะนี้และข้อมูลลูกค้าทั้งหมดอยู่กับเจ้าของแพลตฟอร์ม ดังนั้นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องมีด้วย คือ การสร้างฐานลูกค้าของตัวเองขึ้นมา เก็บฐานข้อมูลทำเรื่อง Data Targeted เพื่อเข้าใจลูกค้าของตัวเองควบคู่กันไปนำเสนอโปรโมชันผ่านช่องทางขายของตัวเองด้วย
3.Online to Offline แม้เป็นโลกยุคอินเทอร์เน็ต แต่พฤติกรรมผู้บริโภคไม่มีใครอยู่ในโลกออนไลน์อย่างเดียว การเข้าถึงผู้บริโภคต้องผสานสองโลก ออนไลน์และออฟไลน์ มาอยู่ด้วยกัน เมื่อแบรนด์มีผู้ติดตามทางโซเชียลมีเดีย นั่นคือฐานลูกค้าที่สามารถดึงมาทำกิจกรรมในฝั่งออฟไลน์ได้ แค่ตัวเลขผู้ติดตามหลักหมื่นทางเฟซบุ๊ก ก็เท่ากับจำนวนคนเต็มพื้นที่อิมแพ็ค อารีน่าแล้ว จึงต้องใช้ประโยชน์จาก Database ออนไลน์ มาทำโปรแกรม CRM เพื่อเข้าใจและตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคผ่าน Customer Journey ในทุกช่วงเวลา
เปิดบริการใหม่ “อีคอมเมิร์ซ โซลูชั่น” เจาะ SMEs
ปัจจุบัน Buzzebees เป็นผู้ออกแบบพัฒนาแพลตฟอร์ม CRM Privilege ที่เป็นผู้นำในตลาดครองสัดส่วนกว่า 90% มีลูกค้าทั้งแบรนด์องค์กรกว่า 120 ราย และร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่บน Ecosystem กว่า 2,000 ราย โดยมี users ในระบบ 85 ล้านบัญชี จำนวนผู้ใช้งานรองจากเฟซบุ๊กและไลน์เท่านั้น มียอด redeem ของกว่า 2 ล้านครั้งต่อเดือน
จากเทรนด์การเติบโตของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่คนไทยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมใช้บริการออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการช้อปปิ้งออนไลน์จากผลกระทบโควิด โดยคาดการณ์มูลค่าตลาดรวมอีคอมเมิร์ซ จะเติบโต 35% หรือประมาณ 2.2 แสนล้านบาท ผู้ประกอบการจึงต้องปรับตัวหาโอกาสจากเม็ดเงินมหาศาลในตลาดนี้
“บัซซี่บีส์” จึงได้เปิดบริการใหม่ “อีคอมเมิร์ซ โซลูชั่น” ให้บริการธุรกิจขนาดกลางและ SMEs แก้ Pain Point กลุ่มธุรกิจที่ต้องนำสินค้าไปอยู่บนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่แต่ละรายเอง โดยเฉพาะ 4 มาร์เก็ตเพลสหลัก Lazada ,Shopee, JD Central และร้านค้า Official Store ใน LINE OA หากมีสินค้า 1,000 รายการ นั่นหมายถึงต้องนำสินค้าไปขึ้นถึง 4,000 ครั้งใน 4 แพลตฟอร์ม
บริการ อีคอมเมิร์ซ โซลูชั่น จึงให้บริการเป็นผู้ช่วยธุรกิจ ทำหน้าที่รวบรวมและดูแลระบบนำสินค้าไปขึ้นบนอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ บริหารสต๊อกในแต่ละแพลตฟอร์ม หากสินค้าถูกขายไป ก็จะตัดสต๊อกอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ประกอบการบริการสินค้าคงคลังได้แบบเรียลไทม์ โดยนำสินค้ามาขึ้นที่บัซซี่บีส์แพลตฟอร์มเดียว
โดยมีออปชันเพิ่ม (เลือกใช้บริการได้) ไม่ว่าจะเป็นการดูแลระบบขนส่ง การทำตลาดออนไลน์ ทำโปรโมชันแต่ละแพลตฟอร์ม วางระบบเพย์เมนต์ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค นำข้อมูลมาทำ Big Data และ Machine Learning กลับมาทำ CRM ให้คะแนนลูกค้าในทุกช่องทางที่ลูกค้าซื้อ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อซ้ำ
สำหรับค่าใช้จ่ายบริการ อีคอมเมิร์ซ โซลูชัน มีค่าแรกเข้า 50,000 บาท จากนั้นเก็บรายได้จาก Transaction Fee หรือแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้จากยอดขาย เป็นรูปแบบเดียวกับการขายผ่านช่องทางร้านค้า
หากทำโมเดลอีคอมเมิร์ซ โซลูชัน ในกลุ่มลูกค้าไซซ์กลางได้สำเร็จ สามารถใช้ระบบ Automation กับลูกค้าไซซ์เล็กได้ ทำให้เพิ่มฐานลูกค้าเข้ามามากขึ้นอีก โดยที่ผู้ประกอบการไม่ได้มีต้นทุนมากนัก เพราะเป็นระบบเก็บค่าบริการจากยอดขาย
ในโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างขับเคลื่อนผ่านเทคโนโลยี หากธุรกิจอยู่ในเซ็กเมนต์ที่ถูก Disrupt ก็ต้องปรับตัวเข้าสู่ออนไลน์ในทันที เพราะเป็นเทรนด์ที่เกิดแล้วตอนนี้และจะอยู่ต่อไปในอนาคต โลกธุรกิจยุคใหม่ “การเรียนรู้ถูกผิดและเปลี่ยนให้เร็ว” เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันก่อนตกขบวน