เรียกว่าเป็นยุคที่เห็นการเปลี่ยนแปลงกันทั่วโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ในระยะหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหนึ่งในผลแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือการที่ค่ายฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น เตรียมจัดโครงการ Early Retirement สำหรับพนักงานอายุ 55 – 63 ปี หวังเปิดพื้นที่ให้วิศวกรรุ่นใหม่สำหรับธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว
ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่มีการปรับเปลี่ยนเพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ในขณะนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะในยุค Pandemic ซึ่งส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของค่ายฮอนด้าในปี 2019 ลดลง 34% เหลือ 420,000 ล้านเยน
แต่เหนือบริษัทฮอนด้าขึ้นไป ก็ต้องยอมรับว่าการออกตัวของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ประกาศให้การผลิตรถยนต์ของประเทศต้องเป็นรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายในปี 2025 นั้นมีผลอย่างมากต่อบริษัทรถยนต์ต่างๆ ในญี่ปุ่น เพราะเท่ากับว่าต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายการผลิตจากแบบเดิมที่ใช้การเผาไหม้น้ำมันมาเป็นรถไฮบริด หรือไม่ก็รถยนต์ไฟฟ้านั่นเอง
เป้าหมายของรัฐบาลคือญี่ปุ่นต้องเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศเป็นศูนย์ (zero-emissions society) ให้ได้ภายในปี 2050 ซึ่งข้อมูลในปี 2018 พบว่า รถยนต์ในญี่ปุ่นมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศประมาณ 16% ของก๊าซที่ญี่ปุ่นปล่อยออกไปทั้งหมด ขณะที่เครื่องบิน เรือ และรถไฟรวมกันยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไม่ถึง 3% เท่านั้น
นโยบายดังกล่าวจึงเป็นตัวเร่งให้ผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นต้องวิ่งเข้าหาเทคโนโลยีไฟฟ้ากันมากขึ้น โดยโตโยต้า (Toyota) ก็เป็นอีกหนึ่งรายที่ประกาศว่าภายในปี 2025 รถยนต์ทุกรุ่นของบริษัทที่จะเปิดตัวจะมีออปชันระบบไฟฟ้ามาให้เป็นทางเลือกด้วย โดยบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าจะสามารถขายรถยนต์ดังกล่าวได้ 5.5 ล้านคันในปี 2025
หรือทางค่าย Nissan Motor ก็ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มยอดขายของรถไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดญี่ปุ่นจาก 30% เป็น 60% ให้ได้ภายในปี 2023 เช่นเดียวกับฮอนด้าที่เริ่มจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Honda e แล้วเช่นกัน
ไม่เฉพาะญี่ปุ่นที่เริ่มมีนโยบายห้ามขายรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เพราะในอังกฤษก็เริ่มแล้วเช่นกันกับการแบนรถยนต์น้ำมันเบนซิน และดีเซลในปี 2030 รวมถึงจะแบนรถยนต์ไฮบริดในปี 2035 ด้วย
ฝรั่งเศสก็ไม่น้อยหน้า เพราะมีแผนจะแบนรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงในปี 2040 ส่วนในสหรัฐอเมริกา เฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนีย ก็เตรียมแบนรถยนต์เบนซินในปี 2035
แทนที่จะจมอยู่กับ Covid-19 หรือปัญหาทางการเมือง จะเห็นได้ว่า รัฐบาลหลายชาติเริ่มผุดนโยบายที่ตอบโจทย์โลกในอนาคตมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งประเทศไทยเอง หากไม่อยากตกขบวน ถึงเวลาที่ต้องหานโยบายสำหรับอนาคตของประเทศเช่นกัน