ในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและโทรคมนาคมก็เช่นเดียวกัน โดยหนึ่งในการเติบโตที่น่าจับตาก็คือแบรนด์สมาร์ทโฟน “เรียลมี” (realme) ที่ก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับ 7 ของแบรนด์สมาร์ทโฟนโลกได้อย่างรวดเร็ว (อ้างอิงจากจัดอันดับของ Counterpoint) แถมในปี 2019 ยังทำสถิติการเติบโตได้สูงถึง 808% (YoY) จากยอดขาย 25 ล้านเครื่องด้วย ขณะที่ในปีนี้ เรียลมี ยังเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยยอดขาย 50 ล้านเครื่อง และติดชาร์ตยอดขายอันดับ 4 ในประเทศไทย (ไตรมาส 3 ของปี 2020)
เรียลมีทำได้อย่างไร หลายคนอาจเกิดคำถามนี้ขึ้นในใจ ซึ่งคำตอบนั้นอาจต้องมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของบริษัทที่ก่อตั้งโดย Sky Li และทีมงานที่คร่ำหวอดในวงการสมาร์ทโฟน โดยพวกเขาเคยให้สัมภาษณ์ในการเปิดตัวว่า เรียลมีนั้นมาพร้อมเป้าหมายหลักคือการเจาะตลาด “คนรุ่นใหม่” เราจึงได้เห็นการถ่ายทอดภาพลักษณ์ และสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญหลาย ๆ อย่างลงมาในสมาร์ทโฟนของเรียลมี เช่น การเป็นสมาร์ทโฟนรายแรกที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 865 และ 765G รวมถึงการเป็นสมาร์ทโฟนค่ายแรกที่เปิดตัวกล้อง 64 ล้านพิกเซล (realme XT) ในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งตอบโจทย์ด้านความทันสมัยที่คนรุ่นใหม่ต้องการ
เรื่องของการนำเทรนด์ก็เป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์ที่คนรุ่นใหม่มองหา โดยเราพบว่า เรียลมีเข้าใจในจุดนี้ และได้ร่วมมือกับดีไซเนอร์ระดับโลกอย่าง “นาโอโตะ ฟุคาซาวะ” (Naoto Fukasawa) นักออกแบบชื่อดังชาวญี่ปุ่นที่บลูมเบิร์กเคยยกย่องให้เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ทรงอิทธิพลระดับโลกมาแล้วเมื่อปี 2019 ซึ่งนาโอโตะร่วมออกแบบสมาร์ทโฟนรุ่น realme X2 Pro Master Edition จนสามารถคว้ารางวัลจากเวที Red Dot Award ได้สำเร็จ
นาโอโตะ ฟุคาซาวะ ดีไซเนอร์ชื่อดังผู้ออกแบบ realme X2 Pro Master Edition จนสามารถคว้ารางวัลจากเวที Red Dot Award
ไม่เพียงเท่านั้น เรียลมียังได้จับมือกับ “José Lévy” นักออกแบบชื่อดังจากแบรนด์ Hermès ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Art Director ของ realme Design Studio มาร่วมออกแบบ realme Buds Q หูฟังไร้สายที่เบากว่ากระดาษ A4 (น้ำหนักของหูฟังหนึ่งข้างเพียง 3.6 กรัม) แต่มาพร้อมคุณภาพเสียงระดับพรีเมี่ยมเพื่อเจาะตลาด AIoT อีกด้วย
Jose Levy
นอกจากตัวสินค้าแล้ว ในเรื่องของกิจกรรม เรียลมียังได้จัดแคมเปญ Empower The Next Gen ที่มีทั้งกิจกรรมพบปะแฟนคลับคนรุ่นใหม่รวมถึงการดึงอินฟลูเอนเซอร์คนรุ่นใหม่ของไทยมาบอกเล่าความกล้าที่จะแตกต่างของตนเองเพื่อสร้างแรงบันดาลใจกันแบบเต็มที่อีกด้วย
realme จัดกิจกรรมพบปะแฟนคลับผ่านแคมเปญ empower the next gen
5G เทรนด์แรง ที่ realme พร้อมร่วมวง
แต่ไม่จบแค่งานดีไซน์ เพราะด้วยสโลแกน Dare to Leap หรือ “กล้าที่จะก้าวกระโดด” ทำให้ในปี 2020 เรียลมีทำสิ่งที่ใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น นั่นคือการเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G ที่มาพร้อมกลยุทธ์ 1+4+N เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโทรคมนาคมจากการมาถึงของเทคโนโลยีดังกล่าว โดยสาเหตุที่ทำให้การพัฒนาสมาร์ทโฟน 5G เป็นเรื่องสำคัญของเรียลมีเพราะต้องมีการสร้าง Ecosystem มารองรับ ซึ่งการจะสร้าง Ecosystem ที่สมบูรณ์ได้นั้น ต้องอาศัยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในภาคส่วนต่าง ๆ นั่นเอง
แต่นอกจากมี Ecosystem ที่สมบูรณ์แล้ว เรียลมียังได้เพิ่มเติมในส่วนของสมาร์ทโฟนให้รองรับคลื่นความถี่ที่ครอบคลุม (เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า 5G สามารถใช้งานได้หลายคลื่นความถี่) การรองรับการเล่นเกมผ่านคลาวด์ อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่ยาวนาน และระบบชาร์จแบตเตอรี่แบบรวดเร็วมาพร้อมกันด้วย
เห็นได้จากการจับมือกับ MediaTek เพื่อพัฒนาสมาร์ทโฟน 5G ในราคาคุ้มค่า โดยได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดอย่าง realme 7 5G ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายนโดยใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 800U ในราคาต่ำกว่าหมื่น รวมถึงเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G เรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง realme X7 Pro 5G ที่ถือเป็นสมาร์ทโฟนที่มาครบทั้งชิปเซ็ต 5G รุ่นเรือธง เทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge และดีไซน์ที่บางเบาด้วย
เห็นได้จากการจับมือกับ MediaTek เพื่อพัฒนาสมาร์ทโฟน 5G ในราคาคุ้มค่า โดยได้มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดอย่าง realme 7 5G ที่ใช้ชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 800U ในราคาต่ำกว่าหมื่น รวมถึงเปิดตัวสมาร์ทโฟน 5G เรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง realme X7 Pro 5G ที่มาพร้อมชิปเซ็ต MediaTek Dimensity 1000+ พร้อมเทคโนโลยีการตรวจจับสัญญาณเครือข่ายของ MediaTek 5G UltraSave ซึ่งทำให้สมาร์ทโฟนแฟล็กชิปรุ่นนี้สามารถจัดการโมเด็มได้แบบเรียลไทม์
ไม่เพียงเท่านั้น Dimensity 1000+ ยังเป็น 5G SoC ตัวแรกของ MediaTek ที่รองรับรูปแบบการถอดรหัสวิดีโอ AV1 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสตรีมวิดีโอล่าสุดและทันสมัยที่สุดด้วย ส่วนหน้าจอนั้น ทางเรียลมีเลือกใช้หน้าจอแบบ Super AMOLED ขนาด 6.5 นิ้ว พร้อมอัตรา Refresh Rate ที่สูงมากถึง 120 Hz ทำให้การทำงานไหลลื่นอีกด้วย
ที่สำคัญ realme X7 Pro 5G ยังมาพร้อมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว 65W SuperDart Charge ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4500 mAh เต็ม 100% ได้ภายใน 35 นาที และมีระบบป้องกัน 5 ชั้น ตั้งแต่อะแดปเตอร์ไปยังตัวเครื่อง จึงถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นเรือธงที่ครบเครื่องมาก ๆ ตัวหนึ่งในตระกูล 5G เลยทีเดียว
ตลาด AIoT ไขความลับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่
นอกจากสร้าง Ecosystem เพื่อรองรับ 5G แบรนด์ในยุคนี้ยังต้องนำเทรนด์ด้านเทคโนโลยี AIoT ด้วย ซึ่งเรียลมีเลือกใช้กลยุทธ์ 1+4+N ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ให้สมาร์ทโฟนเรียลมีเป็นศูนย์กลางหลักของระบบ และเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าหากันผ่าน realme Link โดยเลข 4 หมายถึงอุปกรณ์อัจฉริยะต่าง ๆ ที่บริษัทพัฒนาขึ้น ได้แก่ Earphone, Smartwatch, Smart TV และ Smart Speaker ให้เลือกเชื่อมต่อเข้ากับโทรศัพท์มือถือ
อุปกรณ์ AIoT ของเรียลมีที่มีการเปิดตัวในประเทศไทย
ส่วน N นั้น หมายถึงอุปกรณ์ AIoT และ Accessories ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้งานของคนรุ่นใหม่ เช่น ที่ชั่งน้ำหนักอัจฉริยะ กล้องวงจรปิด กระเป๋าเดินทาง หรือแม้แต่พาวเวอร์แบงค์ ที่เรียลมีก็พัฒนาสินค้าของทางแบรนด์ขึ้นมาเอาใจแฟนคลับเช่นกัน
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้เล่นในตลาดสมาร์ทโฟนทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตนั้นแตกต่างจากเดิมไปมากพอสมควร ซึ่งเรียลมีทำได้ดีในจุดนี้ทั้งการโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนนั่นคือคนรุ่นใหม่ที่ทำให้แนวทางการออกแบบตัวเครื่องสมาร์ทโฟนมีความตรงประเด็น และสามารถเจาะตลาดดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การเป็นผู้เล่นในอุตสาหกรรมทำให้เรียลมีคิดอย่างรอบด้าน และวางกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์ด้วยการสร้าง Ecosystem ขึ้นมารองรับเทคโนโลยี 5G เอาไว้แต่เนิ่น ๆ
ที่สำคัญ เรียลมียังมองไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ในฐานะผู้ช่วยสร้างรายได้ ซึ่งนั่นทำให้เกิดกลยุทธ์ 1+4+N ที่ทำให้ AIoT กลายเป็นผู้เล่นที่มีบทบาทมากขึ้นสำหรับแบรนด์ แทนที่จะฝากความหวังไว้ที่ตลาดสมาร์ทโฟนแต่เพียงอย่างเดียวด้วย และความชัดเจนเหล่านี้เองที่อาจทำให้เรียลมีเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2020 ชนิดที่ว่า Covid–19 ก็สะกัดไม่ไหวกันเลยทีเดียว