HomeBrand Move !!“หยวนดิจิทัล” ดาบพิฆาตอาลีบาบา – เท็นเซนต์?

“หยวนดิจิทัล” ดาบพิฆาตอาลีบาบา – เท็นเซนต์?

แชร์ :

digital yuan china payment

อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เกินไป ย่อมตกเป็นเป้าหมายเสมอ คำกล่าวนี้อาจกำลังเป็นจริงในจีนแผ่นดินใหญ่ กับเรื่องราวร้อนแรงของ 2 อาณาจักรอย่างอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) และเท็นเซนต์ (Tencent) ที่ถูกทางการจีนเพิ่มความเข้มงวดในการกำกับดูแลมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ส่วนหนึ่งของการถูกคุมเข้มมาจากความพยายามของอาลีบาบาและเท็นเซนต์ที่สยายปีกเข้าไปรุกหนักในตลาดการเงิน จนทำให้บริการอย่างอาลีเพย์ (Alipay) และวีแชทเพย์ (WeChat Pay) ของเท็นเซนต์ มีส่วนแบ่งตลาดในหมู่ผู้ใช้ชาวจีนมากถึง 55% และ 39% ตามลำดับ (อ้างอิงจาก Nikkei Asian Review) ขณะที่บัตรเดบิต หรือบัตรเครดิตที่ออกโดยธนาคารไม่มีการใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใด ๆ เลย

อย่างไรก็ดี ตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มาจากความพยายามของอาลีบาบา และเท็นเซนต์เพียงลำพัง เพราะในช่วงเริ่มต้น รัฐบาลจีนก็ให้การสนับสนุนพวกเขาอย่างมากในฐานะ “บริษัทเทคโนโลยี” เพื่อหวังให้เข้ามาช่วยพลิกรูปแบบการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงช่วยให้การจัดจำหน่ายทำได้สะดวกมากขึ้น

แต่อาลีบาบาและเท็นเซนต์ไม่ได้หยุดแค่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี ตัวอย่างของความก้าวหน้าที่มากเกินไปอาจเป็นการตั้งกองทุนการเงินของอาลีบาบาชื่อ Yu’ebao ที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานนำเงินที่เหลือในบัญชีของอาลีเพย์มาลงทุน และรับผลตอบแทนที่ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร อีกทั้งยังสามารถยกเลิกการลงทุนได้ง่าย ๆ ถ้าบังเอิญต้องใช้เงิน เพราะระบบจะคืนเงินกลับมาให้ใช้จ่ายในแอป Alipay ในเวลาไม่นาน

บริการดังกล่าวทำให้ชาวจีนเลือกนำเงินที่เหลือมาใส่ไว้ใน Yu’ebao แทนที่จะโอนเงินเหล่านั้นกลับไปใส่ไว้ในบัญชีเงินฝากธนาคาร ซึ่งแน่นอนว่าทำให้กองทุนดังกล่าวขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ ยอดบัญชีเงินฝากของ Bank of China หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของจีนในช่วงปลายปี 2017 มีเงินอยู่เพียง 1.79 ล้านล้านหยวน ส่วนกองทุนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของ Yu’ebao พบว่า ในเดือนมิถุนายน 2018 มีเงินมากถึง 1.86 ล้านล้านหยวนเลยทีเดียว

ไม่เพียงเท่านั้น ในเดือนมิถุนายน 2020 กองทุนดังกล่าวของ Yu’ebao ยังมีเม็ดเงินเพิ่มขึ้นเป็น 2.54 ล้านล้านหยวนด้วย

yuan digital china payment

สะดวกกว่าด้วย “หยวนดิจิทัล”

การเติบโตที่รวดเร็วนี้จึงทำให้รัฐบาลจีนต้องหามาตรการที่เข้มข้นขึ้นเพื่อจำกัดการขยายตัวของ “บริษัทเทคโนโลยี” ในอุตสาหกรรมการเงิน ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การเรียกเก็บภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทขนาดใหญ่ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายดิจิทัลหลาย ๆ ฉบับให้เหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้ “หยวนดิจิทัล” อย่างแพร่หลาย

Yao Qian ผู้บริหารระดับสูงฝ่ายเทคโนโลยีแห่งคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์จีน (the China Securities Regulatory Commission) เคยกล่าวถึงหยวนดิจิทัลเอาไว้ว่า มันคือสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถใช้ชำระหนี้ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางใด ๆ อีกทั้งจากข้อมูลในปัจจุบัน ผู้ใช้งานสามารถเปิดบัญชีหยวนดิจิทัลได้ที่ธนาคารที่มีบัญชีเงินฝาก และสามารถแปลงเงินสดที่มีมาเป็นเงินหยวนดิจิทัลเพื่อใช้จ่ายได้เลย

นอกจากนั้น ในการจ่ายเงินหยวนดิจิทัล ผู้ใช้ยังไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างสัญญาณอินเทอร์เน็ตอีกด้วย เพียงแค่นำสมาร์ทโฟนไปอยู่ใกล้ ๆ กับสมาร์ทโฟนของคนที่เราจะจ่ายเงินให้ก็เพียงพอ ซึ่ง Yao Qian มองว่า หยวนดิจิทัลจะช่วยลดความยุ่งยากในการใช้จ่ายเงินลงได้พอสมควร เนื่องจากไม่ต้องโอนเงินจากบัญชีเงินฝากไปไว้ที่ตัวกลางอย่าง อาลีเพย์ หรือวีแชท เพย์เหมือนในอดีต

การสนับสนุนให้หยวนดิจิทัลเติบโต ส่วนหนึ่งมองได้ว่า ทำไปเพื่อลดทอนอำนาจที่บริษัทเทคโนโลยีครอบครองไว้อย่างช้า ๆ ซึ่งถือเป็นกุศโลบายที่น่าสนใจ โดย Yao Qian มองว่า การเข้าไปควบคุมบริษัทเทคโนโลยีเหล่านั้นอย่างรวดเร็วผ่านมาตรการต่าง ๆ อาจส่งผลเสียต่อสภาพเศรษฐกิจของจีนโดยรวมได้ เพราะปัจจุบัน บริษัทเทคโนโลยีมีอิทธิพลค่อนข้างสูงมากในจีนนั่นเอง

นอกจากจีนที่กำลังต่อกรกับบริษัทเทคโนโลยีในประเทศตัวเองแล้ว อินเดียก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่เคยเผชิญสถานการณ์ดังกล่าวมาก่อน และประสบความสำเร็จมาแล้วกับการดึงอำนาจด้านการใช้จ่ายกลับมาจากบริษัทเทคโนโลยี กับการเปิดตัวระบบชำระเงินชื่อ Unified Payments Interface (UPI) ขึ้นเมื่อปี 2016 ซึ่งบริการนี้จะเชื่อมโยงบัญชีเงินฝากธนาคารเข้ากับระบบการชำระเงินของสมาร์ทโฟน คนจ่ายเงินเพียงแค่สแกน QR Code ของร้านที่เราจะซื้อของ และทำตามกระบวนการที่กำหนด เงินก็จะถูกโอนออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารของเราไปยังบัญชีธนาคารของผู้รับทันที

ความสะดวกสบายของ UPI ทำให้แอปฯที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางด้านการชำระเงินในเวลานั้นอย่าง Paytm (เป็นบริษัทสัญชาติอินเดียซึ่งมี Ant ของอาลีบาบา และ SoftBank หนุนหลัง) เสียศูนย์ไปพอสมควร

กรณีของจีนจึงอาจเกิดภาพเช่นเดียวกันได้ หากหยวนดิจิทัลที่มีความสะดวกสบายในการใช้งานเติบโตได้ดี อาณาจักรด้านการเงินของอาลีบาบา และเท็นเซนต์ ก็อาจเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ในอนาคตนั่นเอง

Source

Source


แชร์ :

You may also like