“ปี 2564 ปีแห่งโอกาส ปีแห่งความท้าทาย แต่ RS จะโตแบบก้าวกระโดด จากความพร้อมขององค์กร บิสซิเนส โมเดล และกลยุทธ์ Entertainmerce เรามั่นใจว่าปีนี้ จะสามารถสร้าง All Time High ทั้งรายได้และกำไรให้ RS ในรอบ 39 ปี” เฮียฮ้อ สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ซีอีโอ บมจ.อาร์เอส ประกาศเป้าหมายปีนี้ แบบมองข้ามปัจจัยลบโควิด-19 ที่กำลังระบาดใหม่อยู่ในขณะนี้
แม้ปีที่ผ่านมาสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกภาคส่วน แต่อาร์เอส ยังไปต่อได้และทำรายได้ New High ในทุกไตรมาส จากบิสซิเนส โมเดล Entertainmerce มาปีนี้ “เฮียฮ้อ” ก็ยังมั่นใจว่าจะทำได้ไม่ต่างจากปีก่อน โดยวางเป้าหมายรายได้ไว้ถึง 5,700 ล้านบาท เรียกว่าเป็น All Time High อีกครั้ง โดยมีอัตราทำกำไรขั้นต้น (GPM) 50-52% และกำไรสุทธิ 12-14% รายได้มาจาก 2 ส่วนดังนี้
1.ธุรกิจคอมเมิร์ซ 4,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นรายได้ RS Mall และแพลตฟอร์ม Cool 3,000 ล้านบาท จากสินค้าใหม่และช่องทางใหม่ 1,000 ล้านบาท
2.ธุรกิจมีเดียและเอ็นเตอร์เทนเมนต์ 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็น ทีวีดิจิทัล (ช่อง 8) 1,000 ล้านบาท ,วิทยุ Coolism 200 ล้านบาท ,ธุรกิจเพลง 300 ล้านบาท และคอนเสิร์ต-อีเวนท์ 200 ล้านบาท
ธุรกิจคอมเมิร์ซได้ฤกษ์ลุยฟังก์ชั่นนอลดริ้งก์-Pet Food
แผนธุรกิจคอมเมิร์ซปี 2564 ของกลุ่ม RS Mall และ ไลฟ์สตาร์ ดังนี้
-RS Mall แพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าและบริการของอาร์เอสและพันธมิตร มี 3 ช่องทางหลัก
1.Inbound (ทีวีช้อปปิ้ง) สัดส่วน 45% จากช่อง 8, อมรินทร์ทีวี, เวิร์คพอยท์ทีวีและ พีเอสไอ ปีนี้ตั้งเป้าหมายเพิ่มลูกค้า 30% จาก 1.6 ล้านราย เพิ่มเป็น 2 ล้านราย
2.Outbound สัดส่วน 40% จากกลุ่มเทเลเซลล์ และดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง เพิ่มจำนวนซื้อซ้ำจาก 2 ครั้งเป็น 2.4 ครั้งต่อปี
3.ออนไลน์ สัดส่วน 15% ผ่านมาร์เก็ตเพลส สื่อโซเชียล เพิ่มจำนวนทราฟฟิก 150% ต่อเดือน จากรูปแบบ Virtual Store ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด
– ไลฟ์สตาร์ ผู้ผลิตสินค้าด้านสุขภาพและความงาม เตรียมเข้าสู่ Mass Market
1.เปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่ม Functional Drink เดือน เม.ย. 1 ผลิตภัณฑ์, เดือน มิ.ย. 1 ผลิตภัณฑ์ และเดือน ก.ย. 1 ผลิตภัณฑ์ จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อเซเว่นอีเลฟเว่น ร้านค้าปลีกอื่นๆ และอีคอมเมิร์ซ ที่เลือกทำกลุ่ม Functional Drink เพราะเป็นเทรนด์เครื่องดื่มดูแลสุขภาพที่กำลังมาแรง ช่วง 9 เดือนแรกปี 2563 มีมูลค่า 9,100 ล้านบาท เติบโต 14% กลุ่มนี้จะมีรายได้สัดส่วน 40%
2.เปิดตัวอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท เติบโต 10% ในปีที่ผ่านมา โดยจะเปิดตัวสินค้าในเดือน พ.ค. รวม 18 รายการ จำหน่ายผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซ สเปเชียลตี้สโตร์ กลุ่มนี้จะทำรายได้สัดส่วน 20%
3.กลุ่มสินค้านวัตกรรมสุขภาพ ยังเป็นตลาดใหญ่ปี 2563 มีมูลค่า 24,000 ล้านบาท เติบโต 15% โดยจะเปิดตัวสินค้าใหม่เดือน มี.ค. และ มิ.ย. ผ่านช่องทางจำหน่ายใหม่ในรูปแบบ Exclusive Distribution Network (EDN) และร้านสเปเชียลตี้ สโตร์ กลุ่มนี้มีสัดส่วนรายได้ 40%
“ช่อง 8”ขายสินค้าเต็มสูบ รายได้โฆษณาแค่ 30%
กลยุทธ์ในฝั่งธุรกิจสื่อและบันเทิง 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1.ช่อง 8 ยังเป็นกลยุทธ์เก้าอี้ 4 ขา รายได้หลักจะมาจากธุรกิจคอมเมิร์ซ ขายสินค้า RS Mall 40% โฆษณา 30% ดังนั้นในภาวะที่อุตสาหกรรมโฆษณาได้รับผลกระทบจากโควิด ช่อง 8 จึงกระทบน้อยกว่า รายได้จากการขายลิขสิทธิ์คอนเทนท์และออนไลน์ 20% และอีเวนท์ 10% โดยเป็นช่องทีวีดิจิทัลที่เข้าถึงผู้ชมกว่า 50 ล้านคนในปีนี้
2.COOLISM ใช้กลยุทธ์แม่น้ำ 3 สาย นำโดยวิทยุ COOLfahrenheit ทั้งรูปแบบออนแอร์และออนไลน์มีฐานผู้ฟังรวมกันกว่า 3.7 ล้านคน ธุรกิจ COOLive จัดคอนเสิร์ตและอีเวนท์ COOLanything เมนูช้อปปิ้งบนแอปพลิเคชันและเว็บไซต์
3.RS Music กับ 3 ค่ายเพลง Kamikaze, Rose Sound และ RSiam มีศิลปินใหม่ 9 คน เตรียมออก 80 ซิงเกิล ปลุกกระแส “โตมากับอาร์เอส” ต่อยอดศิลปินเป็น Influencer จากไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของแต่ละคน เพื่อเป็น Business Partner ตามโมเดล Music Star Commerce ปีนี้มี 2 คอนเสิร์ต คือ D2B และเจาะกลุ่ม Silver Gen รวมทั้งอีเวนท์สำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง
ปีนี้ M&A อีก 1-2 ดีล ต่อยอดธุรกิจบริหารหนี้กลุ่มเชฎฐ์
หลังจาก RS ประกาศเข้าซื้อหุ้น (Mergers and Acquisitions) 4 บริษัท กลุ่มเชฎฐ์ เอเชีย ซึ่งเป็นการรุกเข้าสู่ธุรกิจ “บริหารสินทรัพย์-สินเชื่อรายย่อย” ด้วยการเข้าไปถือหุ้นเพิ่มทุน 35% ในกลุ่มเชฎฐ์ มูลค่า 920 ล้านบาท เนื่องจากเห็นโอกาสสร้างการเติบโตในธุรกิจใหม่ ที่จะไม่ถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยี และสามารถต่อยอดใช้ทรัพยากรต่างๆ ของอาร์เอส สร้างมูลค่าเพิ่มได้ วางเป้าหมายกลุ่มเชฎฐ์ เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2565 หรือ 2566
“ปีนี้อาร์เอส จะทำ M&A อีก 1-2 ดีล ขนาดลงทุน 300-600 ล้านบาท ในธุรกิจที่เป็นพาร์ทเนอร์ต่อยอดบิสซิเนส โมเดลของอาร์เอส และเป็นส่วนหนึ่งของ Ecosystem ที่จะเติบโตไปด้วยกัน”
สำหรับการเข้าไปลงทุนในธุรกิจบริหารหนี้และสินเชื่อรายย่อย คุณวิทวัส เวชชบุษกร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ.อาร์เอส บอกว่าจากแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ทำให้ จำนวนหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ปีนี้ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ 5-6 แสนล้านบาท จึงมีโอกาสเข้าไปประมูลพอร์ตหนี้ NPL จากสถาบันการเงินต่างๆ มาบริหาร
“ธุรกิจบริหารหนี้ หัวใจสำคัญคือเงินทุน อาร์เอส จึงเพิ่มทุนในกลุ่มเชฎฐ์ 920 ล้านบาท เพื่อเป็นแหล่งเงินเข้าไปแข่งขันประมูลพอร์ตหนี้ NPL มาบริหาร”
อีกธุรกิจคือการปล่อยสินเชื่อรายย่อย ส่วนนี้มองโอกาสต่อยอดกับโมเดล Entertainmerce ร่วมกับอาร์เอสได้ ทั้งในด้านการใช้ Call Center ร่วมกัน โดยกลุ่มเชฏฐ์ มี 300-400 คน และทีมเทเลเซลล์ อาร์เอส 400-500 คน
รวมทั้งยังต่อยอดร่วมกับธุรกิจสื่อ เช่น การทำรายการทีวี แก้ปัญหาหนี้ นำเสนอโปรดักท์สินเชื่อรายย่อย เพื่อดึงลูกค้าที่อยู่กับสื่อของอาร์เอส สิ่งสำคัญคือ การมีธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ทำให้ อาร์เอส สามารถขายสินค้าผ่าน RS Mall ใน “ราคาสูงขึ้น” ได้ จากเดิมยอดซื้อสูงสุดอยู่ที่ 2,000 บาทต่อบิล เพราะกลุ่มเชฏฐ์ จะเข้ามานำเสนอโปรแกรมผ่อนรายเดือน นั่นหมายถึงโอกาสของธุรกิจคอมเมิร์ซ ที่จะทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น
กลยุทธ์ Entertainmerce ของอาร์เอส เป็นบิสซิเนส โมเดล ที่สามารถดึงพาร์ทเนอร์เข้ามาต่อยอดทำธุรกิจได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อทำให้อาร์เอส ยังมีโอกาสสร้างตัวเลขรายได้ New High ได้อย่างต่อเนื่อง และไม่ถูก Disrupt จากเทคโนโลยี