HomeBrand Move !!“คาราบาวกรุ๊ป” รายได้-กำไร ปี 63 ทำ “นิวไฮ” เครื่องดื่มวิตามินซี-ตลาด CLMV หนุน

“คาราบาวกรุ๊ป” รายได้-กำไร ปี 63 ทำ “นิวไฮ” เครื่องดื่มวิตามินซี-ตลาด CLMV หนุน

แชร์ :

Carabao product

โปรดักต์ไลน์ ภายใต้แบรนด์คาราบาว ที่มีทั้งเครื่องดื่มชูกำลัง, กาแฟกระป๋อง, กาแฟ 3 in 1, เครื่องดื่มเกลือแร่ และน้ำเปล่า (Photo Credit : Facebook Carabao)

เป็นหนึ่งให้ลิสต์หุ้นฮอตแห่งปี ที่ทำราคา “นิวไฮ” ให้เห็นตั้งแต่ต้นปีนี้ ส่วนผลงานปี 2563 “คาราบาวกรุ๊ป” ก็โชว์สถิติสูงสุดใหม่ทั้งรายได้และกำไรเช่นกัน

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

คาราบาวกรุ๊ป หรือ CBG แจ้งผลการดำเนินงาน ปี 2563  มีรายได้จากการขายทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) จำนวน 17,231 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  2,298 ล้านบาท หรือ 15.4%

“วู้ดดี้ ซี+ ล็อค”นั่งเบอร์ 2 เครื่องดื่มวิตามินซี

การเติบโตของรายได้มาจาก กลุ่มผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์สินค้าของตนเอง ในกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลัง เกลือแร่ และฟังก์ชันนอลดริงค์ ที่มีมูลค่า 14,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.3% หรือมูลค่า 1,202 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นธุรกิจในประเทศ 42% เติบโต 2.8% และต่างประเทศ 58% เติบโต 14.7%

การเติบโตของรายได้รับจ้างจัดจำหน่ายสินค้าให้บุคคลภายนอกในประเทศ ในกลุ่มน้ำดื่ม กาแฟปรุงสำเร็จชนิดผง และกาแฟปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม มูลค่า 1,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.3%  จากปัจจัยสนับสนุนทั้งการเติบโตของยอดส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังไปยังตลาดต่างประเทศ และการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในประเทศ อย่างเครื่องดื่มวิตามินซี “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค”  ที่เริ่มจำหน่ายในเดือนมีนาคม 2563 ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ 4.2% ของรายได้จากการขายในประเทศจำนวน 5,985 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.8%

การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” ในปี 2563 ช่วยกระจายความเสี่ยงธุรกิจและชดเชยรายได้จากการจำหน่ายเครื่องดื่มคาราบาวแดง ที่ลดลง 1% ในขณะที่ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศเชิงปริมาณหดตัว 6.8%  และเครื่องดื่มชูกำลังแบบบรรจุขวดคาราบาวแดงยังรักษาส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณไว้ที่ 21% เป็นอันดับ 2

ปี 2563  ตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีแบบช็อต เติบโต 28%  โดย “วู้ดดี้ ซี+ ล็อค” มีส่วนแบ่งการตลาดเชิงปริมาณ 10%  ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีช็อต ท่ามกลางการแข่งขันสูงจากสินค้าที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน จากการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มวิตามินซีสะท้อนให้เห็นกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและสร้างโอกาสการขยายฐานธุรกิจในประเทศของ CBG

Woody C+ Lock

ตลาดส่งออก CLMV โต

รายได้จากการส่งออกไปยังต่างประเทศจำนวน 8,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,040 ล้านบาท หรือ 14.7% โดยยอดส่งออกหลักมาจากกลุ่ม CLMV 85%  จีน 5% และอื่นๆ 10% จากประเทศเยเมนและอัฟกานิสถาน เป็นหลัก โดยยอดสั่งซื้อจากเยเมน ยังทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2563

กลุ่มประเทศ CLMV คือตลาดส่งออกเดิมที่เป็นฐานธุรกิจต่างประเทศขนาดใหญ่และยังมีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้จากการส่งออกในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น 974 ล้านบาท หรือ 16.5% ปัจจัยหนุนหลักจากปริมาณสั่งซื้อเพิ่มขึ้นของประเทศเมียนมา

ส่วนตลาดอังกฤษ (UK) ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทย่อย Intercarabao Company Limited (ICUK) มีทิศทางการขายที่ดีขึ้น จากการปรับกลยุทธ์ที่เน้นเพิ่มอัตราการขายในช่องทางเครือข่ายร้านค้าปลีกขนาดใหญ่และเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ปริมาณขายเฉลี่ยต่อเดือนปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี จากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 240,000 กระป๋องต่อเดือนในไตรมาส 1/2563 มาอยู่ที่ค่าเฉลี่ยประมาณ 550,000 กระป๋องต่อเดือนในไตรมาส 4/2563 สะท้อนความนิยมในแบรนด์ “คาราบาว” ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โกยกำไร 3,559 ล้าน โต 44% จ่ายปันผล 1.50 บาท/หุ้น

ผลการดำเนินงานของ CBG ปี 2563 มีกำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่เช่นกันที่ 3,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,091 ล้านบาท หรือ 44.2% คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้จากการขายรวม 20.7% เพิ่มขึ้นจาก 16.5% การเพิ่มขึ้นดังกล่าวสอดคล้องกับรายได้จากการขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่บริษัทดำเนินการผลิตภายใต้แบรนด์ตนเอง การบริหารค่าใช้จ่ายขายและบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ และการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 55 ล้านบาท ซึ่งช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทดำเนินการผลิต ขายและจัดจำหน่าย ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนสโมสร CFC ที่ลดลง และการรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของ ICUK (บริษัทย่อยในอังกฤษ) ลดลงจาก 12.6 ล้านปอนด์ในปี2562 มาอยู่ที่ 3.7 ล้านปอนด์ในปี 2563 จากการควบคุมค่าใช้จ่าย โดยเน้นเฉพาะกิจกรรมและช่องทางการขายที่ดีขึ้นในระยะยาว

ที่ประชุมคณะกรรมการ CBG เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 มีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2564 พิจารณาจ่ายเงินปันผลการดำเนินงานปี 2563 หุ้นละ 1.50 บาท รวมเป็นเงิน 1,500 ล้านบาท กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 8 มีนาคม 2564 จ่ายเงินปันผลวันที่ 10 พฤษภาคม 2564


แชร์ :

You may also like