เรียกว่าเป็นกระแสแรงในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อาหารและเครื่องสำอาง กับการใช้ส่วนผสมใหม่ “กัญชง” ในโปรดักท์ หลังกฎกระทรวงปลดล็อกให้ทำการค้าได้ เปิดให้คนทั่วไปและผู้ประกอบการที่สนใจขออนุญาต ปลูก สกัดสารกัญชง และจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง “สยามเฮลท์ กรุ๊ป” ไม่พลาดเช่นกัน เตรียมส่งสินค้าใหม่ทั้งแบรนด์ “เดนทิสเต้และสมูทอี” ส่วนผสม CBD (กัญชง) เรียกกระแส wow
หลังจากกระทรวงสาธารณสุข เปิดให้ผู้สนใจยื่นขออนุญาตปลูกและผลิต “กัญชง” ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงการค้า โดยไม่จัดเป็นยาเสพติด วันนี้ถนนทุกสายวิ่งสู่สินค้า “สายเขียว” ภาคธุรกิจต่างเตรียมความพร้อมสร้างสีสันในตลาดใหม่
“สยามเฮลท์ กรุ๊ป” เจ้าของแบรนด์ “สมูทอี-เดนทิสเต้” ประกาศลงสนามกัญชงเช่นกัน เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการ สยามเฮลท์กรุ๊ป กล่าวว่าปัจจุบันผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก (Oral Care) แบรนด์เดนทิสเต้ ที่ก่อตั้งมา 15 ปี ส่งออกไปจำหน่ายใน 25 ประเทศ ในบางประเทศได้นำสินค้าไปใส่ส่วนผสมกัญชง อย่าง สหรัฐฯ เยอรมนี เพื่อจำหน่ายในประเทศนั้นๆ ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากผู้บริโภค โดยราคาไม่ได้แตกต่างจากยาสีฟันในกลุ่มพรีเมี่ยมมากนัก
ในประเทศไทยหลังภาครัฐปลดล็อกให้ใช้ส่วนผสมกัญชงได้แล้ว บริษัทได้ขออนุญาตจัดจำหน่ายสินค้าส่วนผสมกัญชง (CBD) เริ่มจากแบรนด์เดนทิสเต้ ที่จะทยอยเปิดตัวในเดือนมิถุนายนนี้ ในกลุ่มเมาท์ สเปรย์, ยาสีฟัน ที่จริงผลิตภัณฑ์ทุกตัวในกลุ่มดูแลช่องปากสามารถผลิตสินค้าใหม่มีส่วนผสมกัญชงได้ทั้งหมด
“โปรดักท์ที่มีส่วนผสมกัญชง เป็นสินค้านวัตกรรม ที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่ชอบลองของใหม่และกลุ่มต้องการนำเทรนด์ ปกติ 2 กลุ่มนี้มีสัดส่วนราว 12% ของลูกค้าในตลาด เมื่อสินค้าวางจำหน่ายก็น่าจะเรียกเสียง Wow และทำยอดขายได้”
นอกจากเดนทิสเต้ จะมีสูตรสินค้ากัญชงออกมาจำหน่ายในปีนี้แล้ว แบรนด์ สมูทอี ในกลุ่ม Personal Care และ สมูทอี ไลฟ์ กลุ่มเสริมอาหารซึ่งเปิดตัวช่วงต้นปี 2563 จะพัฒนาสินค้าที่มีส่วนผสมกัญชงออกมาวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน
เล็งดึง “ลิซ่า BlackPink” นั่งพรีเซ็นเตอร์เจาะ Gen Y
สำหรับแบรนด์ “เดนทิสเต้” ปีนี้จะมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ และขยายฐานลูกค้า ซึ่งเดิมเดนทิสเต้ เริ่มต้นด้วยการวางตำแหน่งเป็น ยาสีฟัน “นิช มาร์เก็ต” กลุ่มพรีเมี่ยม สำหรับการแปรงก่อนนอน เจาะกลุ่ม Gen X เป็นตำแหน่งที่แจ้งเกิดแบรนด์ได้ดี ลูกค้าจดทำแบรนด์ได้
แต่ก็ถือเป็น Pain Point เช่นกัน เพราะวันนี้ เดสทิสเต้ มีสินค้ากว่า 70 รายการ แต่การจดจำของผู้บริโภค จำได้เพียงยาสีฟันก่อนนอน ที่เป็น ออริจินัล โปรดักท์ หากดูพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้เดนทิสเต้ ก็พบว่าเป็นยาสีฟันที่ใช้ทั้งเช้าและก่อนนอนอยู่แล้ว
ปีนี้เดนทิสเต้ จึงวางกลยุทธ์ด้านการสื่อสาร ปรับ Brand Positioning ใหม่ให้เป็นยาสีฟันสำหรับช่วงเวลาดีๆ “Best Moment” ปรับรูปแบบใหม่ จากเดิมเป็นยาสีฟันก่อนนอนในหนังโฆษณาชุดเก่า “Bed moment” โดยสื่อสารผ่านพรีเซ็นเตอร์คู่รัก “ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต และ “น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์”
นอกจากนี้เพื่อเป็นการขยายฐานกลุ่มลูกค้า Gen Y มากขึ้นจากเดิมที่ลูกค้าหลักเป็น Gen X จึงอยู่ระหว่างเจรจากับต้นสังกัดของ “ลิซ่า BlackPink” เพื่อเข้ามาเสริมทัพเป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่ของแบรนด์เดนทิสเต้ ในประเทศไทย และสร้างแบรนด์ระดับโลก
เข็นนวัตกรรมใหม่รับตลาดฟื้น COVID-19
ภาพรวมผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก ปี 2563 มีมูลค่า 18,000 ล้านบาท เติบโต 3% ต่อปี โดยกลุ่มยาสีฟัน มูลค่า 10,000 ล้านบาทเป็นเซ็กเมนต์ใหญ่ที่สุด ในกลุ่มนี้เป็นยาสีฟันพรีเมี่ยม 25% ยังมีแนวโน้มการเติบโต แต่ถือว่ามีการแข่งขันสูง จากเดิมช่วงที่เดสทิสเต้ เข้าตลาดในปี 2547 มีสินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยมราว 10 แบรนด์ แต่ปัจจุบันเพิ่มเป็น 50-60 แบรนด์ หรือเพิ่มขึ้น 6 เท่า ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ
กลยุทธ์ในการทำตลาดนอกจากสร้างแบรนด์แล้วยังต้องพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ออกมานำเสนออยู่ตลอดเวลา ปีนี้จะโปรโมตนวัตกรรมใหม่ ยาสีฟันแปรงแห้ง เป็นการแปรงฟันด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์โดยไม่ต้องบ้วนน้ำ เพื่อให้ฟลูออไรด์ในยาสีฟันเคลือบฟันป้องกันฟันผุ รูปแบบนี้ยังต้องสื่อสารให้คนทั่วไปเข้าใจการแปรงฟันแบบใหม่ เพราะยังคุ้นชินกับการบ้วนน้ำ แต่เป็นการแปรงฟันที่เหมาะสำหรับกลุ่มผู้ป่วยติดเตียง ที่มีกว่า 4 แสนคน กลุ่มเด็กเล็ก นอกจากนี้ยังมียังมีสินค้ากลุ่มแปรงสีฟัน แปรงไฟฟ้า เมาท์ สเปรย์ ลูกอม Mouth Freshener ออกมาทำตลาดต่อเนื่อง
“ปีนี้จะเป็นปีที่เดนทิสเต้ ออกนวัตกรรมใหม่มาทำตลาดมากที่สุดในรอบ 15 ปี ภาพรวมทั้งบริษัทก็ใช้งบโฆษณาและการตลาด (A&P) มากขึ้น หรือราว 400 ล้านบาท เพื่อช่วงชิงโอกาสตลาดจากการฟื้นตัวหลังโควิด-19 ที่น่าจะหมดไปในปีหน้า เราจึงต้องเร่งทำตลาดก่อน”
ปี 2563 “สยามเฮลท์ กรุ๊ป” ทั้งตลาดไทยและส่งออกมีรายได้ราว 3,000 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากสถานการณ์โควิดและกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกลูกค้าหลักหายไป แต่ปีนี้เชื่อว่าจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง ด้วยรายได้เป้าหมาย 4,000 ล้านบาท พร้อมขยายช่องทางการขายรูปแบบออนไลน์และ TV Shopping ซึ่งประสบความสำเร็จมากในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ จากพฤติกรรมผู้บริโภคอยู่กับสื่อออนไลน์และดูทีวีมากขึ้นในช่วงโควิด
นับจากปี 2539 ที่ก่อตั้งแบรนด์ “สมูทอี” ตามมาด้วย “เดนทิสเต้” ในปี 2547 ส่งออกไปทำตลาดกว่า 25 ประเทศทั่วโลก เป้าหมายของ “สยามเฮลท์ กรุ๊ป” ที่ทำมาต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือต้องการสร้างแบรนด์ Personal Care ของประเทศไทยให้ก้าวสู่ Global Brand ให้ได้