HomeBrand Move !!WFH ทำคนเลิกซื้อสูท ถึงเวลา Fast Retailing บริษัทแม่ Uniqlo ผงาดเป็นเบอร์หนึ่งโลกแฟชั่น

WFH ทำคนเลิกซื้อสูท ถึงเวลา Fast Retailing บริษัทแม่ Uniqlo ผงาดเป็นเบอร์หนึ่งโลกแฟชั่น

แชร์ :

uniqlo fast retailing

การขึ้นเป็น “เบอร์หนึ่ง” เป็นสิ่งที่มีความหมายเสมอ และโลกของสินค้าแฟชั่นก็หนีไม่พ้นการแข่งขันในข้อนี้ โดยล่าสุดค่าย Fast Retailing บริษัทแม่ของ Uniqlo ได้ก้าวแซงหน้า Inditex บริษัทแม่ของ Zara แล้วในแง่ของมูลค่ากิจการที่พุ่งทะลุ 10.87 ล้านล้านเยน (ประมาณ 103,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) เมื่อตอนปิดตลาดของเย็นวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ Fast Retailing กลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายโลกไปเรียบร้อย (ในแง่มูลค่ากิจการ)

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ Fast Retailing สามารถแซงหน้า Inditex บริษัทแม่ของแบรนด์ Zara คู่แข่งจากแดนกระทิงดุได้อีกด้วย โดยในวันเดียวกันนั้น Inditex มีมูลค่ากิจการอยู่ที่ 80,800 ล้านเหรียญยูโร หรือประมาณ 99,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

WFH ทำคนเลิกซื้อสูท เปลี่ยนมาใส่ชุดลำลองแทน

การแข่งขันของทั้งคู่เริ่มน่าจับตาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา เมื่อราคาหุ้นของ Fast Retailing ได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งที่นักวิเคราะห์มองเห็นก็คือ Fast Retailing ให้ความสำคัญกับตลาดในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีนแผ่นดินใหญ่ที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากการระบาดของไวรัส Covid-19 ประกอบกับการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนจากการเข้าทำงานในออฟฟิศเป็นการทำงานได้จากทุกที่ ซึ่งทำให้ความต้องการเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่เป็นทางการลดลง และกำลังซื้อเหล่านั้นได้หันมาหาเสื้อผ้าแนวลำลองกันมากขึ้นแทน กลายเป็นเทรนด์ที่ส่งผลดีต่อ Uniqlo อีกต่อ

วัดกันที่ตลาดเอเชีย

ข้อมูลเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2020 ยังระบุด้วยว่า Fast Retailing มีสาขา Uniqlo ทั่วโลก 2,298 แห่ง โดยในจำนวนนี้ 60% อยู่ในภูมิภาคเอเชีย (ไม่นับญี่ปุ่น) และจีนถือเป็นประเทศที่ Uniqlo มีสาขาตั้งอยู่มากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากญี่ปุ่น โดยมีถึง 815 สาขา และผลประกอบการปีก่อนหน้าในตลาดจีนก็เติบโตถึง 14.4%

ขณะที่ Zara นั้นอาจเจอสถานการณ์ที่ต่างออกไป โดย 70% ของร้านค้าปลีกของ Zara ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจาก Covid-19 และการล็อกดาวน์ แถมไม่ใช่การล็อกดาวน์แค่ครั้งเดียว บางประเทศมีรอบที่ 1 – 2 – 3 ให้ได้ลุ้นกันตลอดปี

ส่วนตลาดเอเชียนั้น Zara มีร้านค้าปลีกอยู่ราว 20% ของร้านค้าทั้งหมดเท่านั้น โดยในจำนวนนี้เป็นสาขาในจีน 467 แห่ง ซึ่งน้อยกว่า Uniqlo เกือบครึ่งหนึ่ง (อย่างไรก็ดี ร้าน Zara สาขาที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียก็ตั้งอยู่ที่จีนเช่นกัน โดยมีพื้นที่กว่า 3,000 ตารางเมตร)

ปลื้ม Fast Retailing ให้ความสำคัญกับดิจิทัล

สิ่งที่นักลงทุนปลื้มกับ Fast Retailing อีกข้อคือการให้ความสำคัญกับดิจิทัล โดย Fast Retailing เริ่มนำระบบวิเคราะห์ข้อมูลมาใช้กับการขายสินค้าทั้งออนไลน์และจากหน้าร้านค้าปลีกตั้งแต่ปี 2016 ภายใต้แนวคิด “digital consumer retailing” นอกจากนั้น Fast Retailing ยังทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เช่น Google ในการนำ AI มาปรับใช้กับกระบวนการผลิตสินค้าด้วย

ถ้าวัดที่รายได้ Fast Retailing ไม่ได้เป็นเบอร์หนึ่ง

อย่างไรก็ดี หากเปรียบเทียบในแง่ของรายได้ Fast Retailing ไม่ได้อยู่อันดับหนึ่งของตาราง โดยรายได้ของบริษัทอยู่ที่ 18,900 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นรอง Inditex ที่ทำได้ 34,100 ล้านเหรียญสหรัฐ และ H&M ที่ทำได้ 22,500 ล้านเหรียญสหรัฐอยู่พอสมควร

ที่สำคัญ กำไรของ Inditex ยังมากกว่า โดย Inditex ทำกำไรได้ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ Fast Retailing ทำกำไรได้ 680 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

ส่วนหนึ่งที่ทำให้กำไรของ Inditex มีมากกว่าอาจมาจากกระบวนการผลิตทั้งหมดของบริษัทอยู่ในสเปน อีกทั้งบริษัทยังมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างเหมาะสม ไม่มีสินค้าเก็บเอาไว้มากเกินไป นอกจากนี้ บริษัทยังเลือกใช้การขนส่งทางอากาศเพื่อให้ประหยัดเวลา ทำให้สินค้าของ Inditex มีโอกาสขายได้มากกว่า และไม่ต้องจัดโปรโมชันลดราคาเหมือนคนอื่น ๆ

แต่หากเทียบในเรื่องยอดขายออนไลน์ระหว่าง Fast Retailing และ Inditex แล้ว พบว่าค่อนข้างใกล้เคียงกัน นั่นคือมีส่วนแบ่ง 15.6% และ 14% ตามลำดับ (จากยอดขายทั้งหมด)

นักวิเคราะห์จาก Credit Suisse Securities ให้ความเห็นว่า หากพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมด Fast Retailing ถือว่ามีภาษีเหนือกว่าในแง่การเติบโตในอนาคต เนื่องจากมีตัวตนที่แข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียเป็นทุนเดิม ซึ่งนักวิเคราะห์ให้ความสำคัญกับเอเชียในฐานะที่เป็นตลาดสำคัญในอนาคต

คุณทาดาชิ ยาไน ซีอีโอ Fast Retailing

ในกรณีนี้ คุณทาดาชิ ยาไน (Tadashi Yanai) ซีอีโอของ Fast Retailing ก็เคยให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางเดียวกัน โดยเขาระบุว่า หลังจากปี 2021 เป็นต้นไป เอเชียจะกลายเป็นศูนย์กลางของโลก และโลกจะเข้าสู่ยุคของชุดลำลองที่ใส่ได้ทุกวัน ขณะที่สูทหรือชุดที่เป็นทางการจะไม่เติบโตอีกต่อไป

“ชีวิตที่ต้องใส่สูทไปทำงานได้จบลงแล้ว เราอยู่ในโลกของชุดแบบ everyday wear ผมอยากสร้างชุดที่ใส่ได้ทุกวัน คนจะได้เลือกชุดที่ใส่สบาย ทั้งใส่ทำงานและใส่อยู่บ้านได้ ผมอยากสร้างเสื้อผ้าแบบนั้น”

Source

Source

Source


แชร์ :

You may also like