เทรนด์การใช้เงินสกุลดิจิทัล (Cryptocurrency) กำลังมา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน ช่องทางการออมรูปแบบใหม่ ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่ง นอกจากการลงทุน สิ่งที่จะได้เห็นมากขึ้นคือการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อใช้แลกเปลี่ยนซื้อสินค้าและบริการได้เช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ
ปัจจุบันคนไทยให้ความสนใจลงทุนเงินดิจิทัลมากขึ้นโดยเฉพาะ Bitcoin มีคนเปิดบัญชีลงทุนเงินดิจิทัลแล้วกว่า 5 แสนบัญชี มีผู้เปิดบัญชีลงทุนใหม่เฉลี่ยวันละ 1,000-2,000 บัญชี ด้วยเทรนด์นี้ในประเทศไทยจึงเริ่มเห็นร้านค้า ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ สถานบันเทิง เริ่มรับเงินดิจิทัลมากขึ้น
เมเจอร์ฯ เปิดบริการใช้ Bitcoin ซื้อตั๋วหนัง
คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหลังจากศึกษารูปแบบการรับเงินดิจิทัลเพื่อแลกซื้อสินค้าและบริการมากกว่า 1 ปี ได้ร่วมมือกับ ซิปเม็กซ์ (ZIPMEX) แพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล และ แรพิดซ์ (RAPIDZ) ผู้ให้บริการระบบบริหารการรับแลกสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มโครงการ “ทดลองรับแลกตั๋วหนังด้วยสกุลเงินดิจิทัล” รายแรกของไทย เริ่มที่สกุล Bitcoin เริ่มสาขาแรกที่เมเจอร์ รัชโยธิน ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นสาขาที่มีผู้ใช้บริการสูงสุดเป็นอันดับต้น ๆ
บริการซื้อตั๋วด้วยเงินดิจิทัลนี้ เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะลูกค้าวัยรุ่น คนทำงาน ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีความทันสมัยที่มาพร้อมความสะดวกสบายที่เข้าถึงได้ง่าย สอดรับกับการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society)
ที่ผ่านมาเมเจอร์ฯ มีบริการที่หลากหลายในการจองและซื้อตั๋วหนังผ่าน Application Major Cineplex, เว็บไซต์ www.majorcineplex.com, การซื้อตั๋วหนังและชำระเงินที่ตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket, การชำระค่าตั๋วหนังด้วยบัตร M Cash
ปัจจุบันลูกค้าซื้อตั๋วหนังผ่านเคาท์เตอร์เพียง 10% เท่านั้น โดยซื้อผ่านตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket 80% และแอปเมเจอร์ 10% สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าพร้อมเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และซื้อตั๋วหนังด้วยตัวเองมากขึ้น ดังนั้นในสาขาเปิดใหม่ จึงไม่มีเคาท์เตอร์จำหน่ายตั๋ว แต่จะติดตั้งตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket แทน
ขั้นตอนการใช้เงินดิจิทัลซื้อตั๋วหนังได้ มีดังนี้
– ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น RAPIDZ ซึ่งเป็นแอปที่สามารถนำสกุลเงินดิจิทัลมาเก็บไว้เพื่อนำไปใช้บริการต่าง ๆ ผ่านทางระบบของ RAPIDZ ได้
– ลูกค้าแลกรับตั๋วหนังได้ที่ตู้จำหน่ายตั๋วหนังอัตโนมัติ E-Ticket โดยกดเลือกภาพยนตร์และตำแหน่งที่นั่งที่ต้องการ แล้วเลือกใช้ E-Wallet และเลือก RAPIDZ
– หลังจากเลือกใช้ด้วย RAPIDZ แล้ว จะมี QR Code ขึ้นบนหน้าจอ เพื่อให้สแกนใช้สกุลเงินดิจิทัลแลกตั๋วหนัง
– หลังจากที่กดยืนยันเรียบร้อยแล้ว ตู้จะพิมพ์ E-Ticket ออกมา เพื่อนำไปใช้เข้าชมภาพยนตร์
หลังเปิดให้บริการซื้อตั๋วหนังผ่านสกุลเงินดิจิทัล เริ่มด้วย Bitcoin ที่เมเจอร์ฯ รัชโยธิน เป็นสาขาแรกในกรุงเทพฯ โรงภาพยนตร์อื่น ๆ อีก 39 สาขาทั่วกรุงเทพฯ ที่จะใช้ระบบเดียวกันภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นการรองรับค่านิยมของสังคมไร้เงินสด
นอกจากนี้บริการอื่นๆ ของเมเจอร์ฯ ก็จะขยายบริการรองรับการจ่ายเงินสกุลดิจิทัลตามมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นการซื้อป๊อปคอร์น บริการโบว์ลิ่ง คาราโอเกะ
RAPIDZ ขยายพันธมิตรให้บริการจ่ายเงินดิจิทัล
ด้าน วิศรา โชคดีทวีอนันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แรพิดซ์ เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า RAPIDZ เป็นผู้ให้บริการระบบบริหารการรับแลกสินค้าและบริการด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ซึ่งมีบริการ 7 สกุลเงินดิจิทัล
ปัจจุบันมีผู้สนใจลงทุนเงินสกุลดิจิทัลจำนวนมาก เมื่อมีผู้ถือสินทรัพย์เงินดิจิทัล ก็ต้องขยายอีโคซิสเต็ม สู่การจับจ่ายเงินผ่านสินค้าและบริการต่างๆ เพื่อทำให้ผู้บริโภคเห็นโอกาสจากการถือเงินดิจิทัล ไม่ใช่แค่ลงทุนอย่างเดียว แต่สามารถนำมาใช้ซื้อสินค้าได้ด้วย
ปัจจุบันมีลูกค้าดาวน์โหลดแอปและเปิด E-Wallet กับ RAPIDZ แล้ว 4,000-5,000 ราย ที่สามารถนำเงินสกุลดิจิทัลต่างๆ ไปใช้ซื้อสินค้าและบริการในร้านค้าและธุรกิจที่รองรับการซื้อและจ่ายเงินดิจิทัลราว 100 ร้านค้าที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับ RAPIDZ ในปีนี้ และจะขยายเพิ่มเติมร่วมกับแบรนด์ใหญ่เพิ่มเติม
สำหรับความร่วมมือกับ เมเจอร์ฯ เป็นการเปิดให้ใช้บริการเงินดิจิทัล เริ่มที่ Bitcoin ซื้อตั๋วหนัง โดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมฟรี 1 ปี เพื่อร่วมกันสร้างสังคมใช้จ่ายเงินดิจิทัลและสังคมไร้เงินสดในประเทศไทย
“ช่วง 2 ปีในการให้บริการของ RAPIDZ ต้องการทำให้คนเข้าถึงสกุลเงินดิจิทัลได้ง่ายขึ้น หลังจากไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่ให้นักลงทุนสามารถลงทุนและถือสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เมื่อมีสินค้าและบริการรองรับการจ่ายเงินสกุลดิจิทัลมากขึ้น ก็จะทำให้ผู้บริโภคกล้าถือสินทรัพย์และใช้จ่าย Cryptocurrency ในการทำธุรกรรมมากขึ้นด้วย”