การคลอดบุตร นับเป็นเรื่องสำคัญของคุณพ่อและคุณแม่ โดยเฉพาะเหล่าคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ ดังนั้น เพื่อให้คุณพ่อได้ใช้เวลาอยู่กับภรรยาและลูกน้อยมากขึ้น บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) ผู้ผลิตเวชภัณฑ์ระดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศเพิ่มสิทธิ์การลาเพื่อดูแลบุตร (Parental Leave) แก่พนักงานชาย ที่มีบุตรแรกเกิดได้ 98 วัน โดยยังได้รับเงินเดือน เพื่อต่อยอดวิสัยทัศน์ด้านการพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มุ่งเน้นในการให้ความสำคัญของการบริหารบุคลากรด้วยความเท่าเทียมกันและเห็นคุณค่าของความหลากหลายในองค์กร (Diversity & Inclusion)
สำหรับนโยบายที่ประกาศล่าสุดนี้ นอกจากจะเป็นการเพิ่มสวัสดิการให้แก่พนักงานชายในการใช้สิทธิ์ลาคลอดเพื่อดูแลภรรยาและบุตรแรกคลอดแล้ว ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มคู่ชีวิตที่ไม่ได้สมรสตามกฎหมายและเพศทางเลือก หรือผู้ที่รับอุปการะบุตรที่ต้องได้รับการดูแลอีกด้วย ซึ่งสิทธิ์ดังกล่าวนี้ต่อยอดมาจากการปรับตัวขององค์กรในการบริหารบุคคลให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันที่มีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อเสริมศักยภาพและต่อยอดการพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
มธุกร ศัลยพงษ์ หัวหน้าฝ่ายประจำประเทศไทยในส่วนการบริหารงานบุคคลและองค์กร บริษัท โนวาร์ตีส (ประเทศไทย) กล่าวว่า โนวาร์ตีสถือเป็นองค์กรแรกๆ ในประเทศไทยที่มอบสวัสดิการในลักษณะนี้ให้แก่พนักงานชาย โดยหลังจากเริ่มประกาศนโยบายนี้ มีพนักงานชายจำนวนหนึ่งได้ใช้สิทธิ์นี้แล้ว ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเท่าเทียมและเคารพในความแตกต่างของแต่ละคน
การให้ความสำคัญและเห็นคุณค่าของความหลากหลายใน โนวาร์ตีส ไม่ได้จำกัดเฉพาะในเรื่องของความแตกต่างทางเพศ แต่รวมถึงความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา ความเชื่อ วัย และประสบการณ์ ซึ่งการบริหารบุคลากรในลักษณะนี้นอกจากจะช่วยเสริมศักยภาพในการทำงานให้แก่บุคลากรของบริษัทได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยจัดค่านิยมและวัฒนธรรมขององค์กรใหม่เพื่อสะท้อนความเป็นจริงของคนในยุคปัจจุบัน
นอกจากนี้ เพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ รวมไปถึงการจำกัดระยะห่างทางสังคมระหว่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โนวาร์ตีส ได้ให้อิสระแก่พนักงานในการบริหารจัดการความรับผิดชอบของตนเอง (Choice of Responsibility) โดยพนักงานสามารถเสนอและตัดสินใจในเรื่องสถานที่ที่ตนเองสะดวกทำงาน รวมไปถึงวิธีการและเวลาในการทำงานตามความเหมาะสมของตนเองและเพื่อนร่วมงานได้ ซึ่งองค์กรมีความเชื่อว่าการให้อิสระในการบริหารจัดการแก่พนักงานจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานในความรับผิดชอบของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมไปกับการจัดการและปรับสมดุลการใช้ชีวิตได้เป็นอย่างดี
“แนวความคิดนี้ริเริ่มจากการตระหนักถึงความแตกต่างและความหลากหลายของประชากรจากทั่วโลก โดยความหลากหลายนี้ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อการบริหารงานของบริษัทที่สอดคล้องกับโลกปัจจุบัน ดังนั้น บุคลากรจึงสามารถเป็นตัวเองได้อย่างแท้จริง และมีความสบายใจในทุก ๆ วันของการทำงาน รวมถึงเข้าใจและยอมรับในทุกความแตกต่าง เมื่อเกิดการยอมรับในความแตกต่างแล้ว จะส่งผลสะท้อนสู่แรงบันดาลใจในการทำงาน เพื่อให้บุคลากรสามารถคิดค้นและนำเสนอความคิดที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงสามารถแสดงศักยภาพที่มีอยู่ออกมาได้อย่างแท้จริง” มธุกร กล่าว