ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พัฒนาที่อยู่อาศัยแข่งกันเดือด ทั้งรายเล็กรายใหญ่ แข่งทำโปรดักท์เจาะตลาดทุกเซ็กเม้นต์ แต่ก็ใช่ว่าไม่มีช่องว่างให้แทรกเข้ามาช่วงชิงโอกาส หากเข้าใจไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของแต่ละกลุ่ม นั่นคือ Blue Ocean ที่ทำให้ “แอสเซทไวส์” (Asset Wise) แจ้งเกิดได้ในตลาดคอนโดมิเนียมใกล้สถานศึกษา (Campus Condo) พร้อมสร้างสตอรี่ใหม่ก้าวสู่ปีที่ 17 กับ Next Paradigm ในฐานะบริษัทมหาชน เปิดจองซื้อหุ้น IPO 206 ล้านหุ้น วันที่ 19 – 21 เมษายน 2564 ราคาหุ้นละ 9.82 บาท คาดเทรดในตลาดฯ วันที่ 28 เมษายนนี้
Brand Buffet พามาทำความรู้จักเรื่องราวและกลยุทธ์ที่สร้างความสำเร็จให้ “แอสเซทไวส์” หรือ ASW ตลอดเส้นทาง 17 ปี พร้อมแผนธุรกิจหลังเข้าตลาดหุ้น กับหัวเรือใหญ่ คุณกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)
จุดเริ่มต้นบนถนนสายอสังหาฯ
“แอสเซทไวส์” เริ่มต้นธุรกิจอสังหาฯ เมื่อ 17 ปีก่อน หลังจาก คุณกรมเชษฐ์ ใช้ชีวิตเป็นวิศวกรมนุษย์เงินเดือนมาได้พักหนึ่งก็สนใจทำธุรกิจ เนื่องจากครอบครัวมีธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้างอยู่แล้ว จึงตัดสินใจออกมาทำธุรกิจอสังหาฯ ร่วมกับเพื่อนๆ โดยเริ่มจากการซื้อทาวน์เฮ้าส์มารีโนเวทใหม่แล้วประกาศขาย แม้ในตอนนั้นกำไรไม่มากแต่ตลาดตอบรับดี จากนั้นก็ลงทุนพัฒนาโครงการแนวราบเพื่อขายมาอย่างจริงจัง
ก่อนจะขยับมาพัฒนาคอนโดมิเนียม ในปี 2556 ประเดิมโครงการแรกในชื่อ “บีแคมปัส” (B Campus) จากนั้นก็ลุยพัฒนาคอนโดอีกหลายแบรนด์เข้ามาในตลาด เฉลี่ยปีละ 3-4 โครงการ
ปัจจุบันพัฒนาโครงการไปแล้ว 33 โครงการ รวมมูลค่า 30,400 ล้านบาท ภายใต้ชื่อโครงการต่างๆ ได้แก่ Modiz, Atmoz, Kave, Ivory, Wynn, Brown, Bann Puri Puri, Glam และ The Honor แบ่งเป็นคอนโด 29 โครงการ และแนวราบ 4 โครงการ
หากดูผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปี ระหว่างปี 2561-2563 “แอสเซทไวส์” สามารถทำกำไรมาได้ต่อเนื่อง โดยปี 2561 รายได้ 4,346 ล้านบาท กำไรสุทธิ 557 ล้านบาท ปี 2562 รายได้ 2,625 ล้านบาท กำไรสุทธิ 297 ล้านบาท และปี 2563 รายได้ 4,205 ล้านบาท กำไรสุทธิ 871 ล้านบาท
ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2653 แอสเซสไวส์สามารถรับรู้รายได้ถึง 4,205 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ถึง 60% และด้วยการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้น 44.2% ทำกำไรสุทธิ 871 ล้านบาท คิดเป็น 20.6% สามารถสร้างสถิติกำไร All time high ได้สำเร็จ
3 กลยุทธ์ ปั้น ASW ปักหมุดอสังหาฯ ในใจคนรุ่นใหม่
สิ่งสำคัญที่ทำให้ แอสเซทไวส์สามารถเบียดเข้ามาในตลาดท่ามกลางคู่แข่งยักษ์ใหญ่ได้สำเร็จ คุณกรมเชษฐ์ บอกว่ามาจากการเดินเกมสวนทางกับนักพัฒนาอสังหาฯ รายอื่นๆ มองช่องทางทางการตลาด วางตำแหน่งเป็นอสังหาฯ สำหรับคนรุ่นใหม่ โดยมี 3 กลยุทธ์หลัก
1. การเลือก “ทำเล” ที่ยังมี “ช่องว่าง” ในการพัฒนาโครงการ หรือเจาะทำเล Niche Market ที่คู่แข่งไม่ค่อยไป จุดแข็งของแอสเซทไวส์ คือ ทำเลใกล้กับสถานศึกษาและมหาวิทยาลัย หรือ Campus Condo ทุกโครงการประสบความสำเร็จด้านยอดขาย ไม่ว่าจะเป็น เคฟคอนโด เคฟทาวน์ สเปซ และ เคฟทาวน์ ชิฟท์ ทำเลรังสิตใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ เคฟทียู ทำเลตรงข้ามธรรมศาสตร์ รังสิต ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ที่มีนักศึกษากว่า 40,000 คน ปีนี้เปิดโครงการใหม่ เคฟ ศาลายา ใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นคอมมูนิตี้ที่มีนักศึกษากว่า 20,000 คน
“แอสเซทไวส์ มองตลาดแคมปัสคอนโด เป็น Blue Ocean เพราะมีกำลังซื้อใหม่เข้ามาเติมทุกปี จากพ่อแม่ซื้อให้บุตรพักอาศัยช่วงเรียน ที่ได้ทั้ง Facilities และ Security ต่างจากอพาร์ทเม้นต์ อีกกลุ่มเป็นลงทุนซื้อปล่อยเช่า ได้ผลตอบแทน 6-10% แล้วแต่ทำเล”
แม้มีอสังหาฯ หลายแบรนด์ทำคอนโดใกล้สถานศึกษา แต่การดีไซน์และในสิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ต่างๆ ในโครงการ แอสเซทไวส์ทำได้โดนใจและตอบไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของนักศึกษาได้มากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นห้อง Theater, ห้องเล่นเกม VR Room, ห้อง Karaoke มีพื้นที่ Co-Working Space ที่กว้างขวางหลากหลายดีไซน์ สำหรับอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมพักผ่อนระหว่างเรียน และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่
2. การสร้างแบรนด์ตามคาแรคเตอร์ลูกค้า โดยจะแบ่งกลุ่มสินค้าตามไลฟ์สไตล์แบรนด์ เพื่อสร้างคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนและแตกต่างในแต่ละโครงการ ในกลุ่มคอนโดมีเนียม มี 3 แบรนด์เรือธง ตอบแนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness”
MODIZ (โมดิซ) แบรนด์คอนโดมิเนียมคนเมืองโดดเด่นหรูหราสไตล์โมเดิร์น เน้นการเชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกสบายบนทำเลแนวรถไฟฟ้า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ เพื่อให้ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของคนเมือง
ATMOZ (แอทโมซ) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์ รีสอร์ท ภายใต้แนวคิด “Urban Refresh” โดยออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง สวนและสระขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย รองรับกลุ่มคนทำงานที่ต้องการการพักผ่อน เสมือนได้เติม Daily Endorphin ทุกครั้งที่กลับบ้าน แบรนด์ ATMOZ ยังได้ดึง มิสยูนิเวิร์ส ไทยแลนด์ 2020 “อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หนังโฆษณา เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์แบรนด์ที่โดนใจคนรุ่นใหม่วัยทำงาน
KAVE (เคฟ) แบรนด์คอนโดมิเนียมใกล้สถานศึกษา (Campus Condo) โปรดักท์ที่โดดเด่นของแอสเซทไวส์ มีการออกแบบดีไซน์พื้นที่ที่มีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกให้รองรับทุกไลฟ์สไตล์และความสนใจของคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่าเป็น “ถ้ำของเหล่า Gen Z” ได้ใช้ชีวิตในวัยเรียนอย่างเต็มที่
“เราเชื่อมั่นในคาแรคเตอร์ของแต่ละแบรนด์ว่าสามารถสร้างความแตกต่างให้กับโครงการตรงกับโลเคชั่น และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทำเลนั้นๆ โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก”
3. การรู้จัก “ปรับตัว” ตลอดเวลา ยังเป็นหัวใจสำคัญที่สร้างแอสเซทไวส์เติบโตมาได้ต่อเนื่อง ท่ามกลางอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงและสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยลบ อย่างผลกระทบโควิดในปีที่ผ่านมา
ส่วนหนึ่งของความสำเร็จเกิดจากทีมงานและวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งแกร่งและมีความไดนามิคสูง คือ ใน 3 เรื่องหลัก 1.Focus ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการและบริการต่าง ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด 2.Flexibility ปรับตัวอย่างรวดเร็วให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในภาวะที่ผันผวน ให้มีความคล่องตัวในการทำงาน และเปิดรับแนวการทำงานใหม่ ๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามาช่วยเรื่องการขายและติดต่อกับลูกค้า และ 3.Fast Move นำกลยุทธ์และแผนงานไปปฏิบัติได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อการแข่งขันและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
เปิด 4 แนวคิด Next Paradigm
แนวคิดสำคัญของแอสเซทไวส์ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนใน Next Paradigm ประกอบด้วย 4 เรื่องสำคัญ ได้แก่
1. Facilities for New Lifestyle ในโลกยุคใหม่ “บ้าน” เป็นสถานที่ที่คนใช้เวลามากขึ้น ทั้งทำงาน ทำกิจกรรม และพักผ่อน จึงให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางในโครงการมาโดยตลอด เพื่อรองรับทุกกิจกรรมการพักผ่อนและมีพื้นที่รองรับการทำงานและการเรียนที่บ้าน ทั้งในรูปแบบ Co-working space, Library, Meeting Room, Living Lounge สำหรับการทำงานแบบ Work From Home
“ยุคนี้เรียกได้ว่า Common Area is a king จะเป็นปัจจัยหลักของไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย ด้วยเส้นทางรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น คอนโดก็จะอยู่ติดรถไฟฟ้า จึงไม่ใช่จุดต่าง แต่ Common Area ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ จะเป็นตัวตัดสิน เราจึงพัฒนา Common Area ที่ตอบสนองทั้งการพักผ่อนและการทำงาน”
2. Health Concern สุขภาพกลายเป็นเรื่องสําคัญมากของทุกวัย แอสเซทไวส์ ตอบเทรนด์นี้ด้วยแนวคิด “Health Solution” ต่อยอดการดูแลสุขภาพของลูกบ้าน ในพื้นที่ส่วนกลาง ด้วยการจัดเตรียมอุปกรณ์ตรวจสุขภาพเบื้องต้นไว้ให้แก่ลูกบ้าน ได้แก่ Tytocare อุปกรณ์ที่ใช้ตรวจอาการของผู้ป่วยอย่างเรียลไทม์ เพื่อที่ลูกบ้านสามารถนำข้อมูลต่างๆไปที่ใช้พูดคุยกับแพทย์โรงพยาบาลชั้นนำผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงเครื่อง BMI (เครื่องตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย) เครื่อง AED (เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ) และเครื่องวัดความดันชนิดสอดแขน
Health Station นับเป็น Facility ใหม่ของวงการอสังหาฯ แอสเซสไวส์เริ่มนําร่อง ในโครงการแอทโมซ แจ้งวัฒนะ, แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง, เคฟทาวน์ สเปซ และ เคฟทาวน์ ชิฟท์ หลังจากนี้จะทำให้เป็นฟังก์ชั่นหลักของทุกโครงการใหม่
3. Innovation for Living คัดสรรนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ทั้งความสุขและความสะดวกสบายในที่พัก ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth Sound System เพื่อการฟังเพลงในห้องพัก พื้นที่สำหรับกิจกรรม e-sports ไปจนถึงการใช้ออนไลน์แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ผ่านระบบ Home automation
4. Strengthen Sustainability จัดทำโครงการหลายอย่างเพื่อสร้างความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นอบรมการคัดแยกขยะและการจัดการขยะอันตรายให้แก่นิติบุคคล พนักงาน ลูกบ้าน จัดทำพื้นที่วางถังขยะ และทำเครื่องหมายการคัดแยกทิ้งขยะไว้อย่างชัดเจน สำหรับอำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านในโครงการฯ ให้เกิดการมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน จัดโครงการ ASW ปันอิ่มเพื่อช่วยชุมชนในช่วงโควิด-19 และจัดโครงการจิตอาสาปันสุขเพื่อช่วยเหลือโรงเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ และโครงการปันโลหิตเพื่อรับบริจาคโลหิตช่วยผู้ป่วย
ก้าวสู่บริษัทมหาชน เคาะ IPO หุ้นละ 9.82 บาท คาดเทรด 28 เม.ย.นี้
หลังจากสร้างแบรนด์อสังหาฯ จนเป็นที่ยอมรับในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ปีนี้ แอสเซทไวส์ กำลังจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 206 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.07% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 9.82 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับ 8.54 เท่า (Post-IPO Dilution) ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
โดยเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 19 – 21 เมษายน 2564 คาดว่าสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 28 เมษายน 2564 ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า “ASW” เข้าเทรดในหมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
“การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะช่วยเสริมศักยภาพและทำให้เราสามารถพัฒนาโครงการได้หลากหลายทั้งทำเลและโปรดักต์ รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถด้านการเงินที่แข็งแกร่งมากขึ้น”
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน จะเป็นโอกาสในการหาซื้อที่ดินแปลงใหม่ๆ เพื่อทำโครงการได้มากขึ้น เพราะสถานการณ์โควิดทำให้ราคาที่ดินปีนี้ไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก จึงเป็นโอกาสที่จะเก็บสะสมไว้ได้ ปัจจุบันมีแลนด์แบงก์ที่สามารถพัฒนาไปได้อีก 2 ปี เชื่อว่าเมื่อมีวัคซีนแล้ว ตลาดอสังหาฯ น่าจะค่อยๆ กลับมาฟื้นตัวในไตรมาส 2
ในปี 2564 แอสเซทไวส์ วางแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 6 โครงการ รวมมูลค่า 10,850 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 5 โครงการ ได้แก่ เคฟ ศาลายา, โมดิซ ไรห์ม คลาวด์, แอทโมซ บางนา, เคฟ เอวา, โมดิซ ศรีราชา และโครงการแนวราบ 1 โครงการคือ บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 อีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,694 ล้านบาท ประกอบด้วย เคฟทาวน์ ชิฟท์, บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ, เคฟทียู, บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 และ โมดิซ สุขุมวิท 50 โดย ณ สิ้นปี 2563 มี Backlog 7,848 ล้านบาท รวม 3,296 ยูนิต
โดยตั้งเป้าที่จะพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 10% เพื่อเป็นการกระจายพอร์ตให้มากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์รสนิยมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากสถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้คนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังมองหาโอกาสขยายไปในธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ เพื่อกระจายพอร์ตโฟลิโอให้มีรายได้จากหลากหลายธุรกิจ พร้อมตอกย้ำจุดแข็งแบรนด์อสังหาฯ ของคนรุ่นใหม่ ตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง