หลังจาก “หอการค้าไทย” จัดประชุมระดมความคิดเห็นกับประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัทใหญ่กว่า 40 บริษัท เพื่อหาทางคลี่คลายสถานการณ์โควิดระลอกใหม่ ร่วมกันวางแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดของภาคเอกชน และจัดหา “วัคซีนทางเลือก” ให้เพียงพอ
หอการค้าไทยและเครือข่ายภาคเอกชน จึงตั้งทีมจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ร่วมกับภาครัฐและเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน โดยสำรวจความต้องการฉีดวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติม เพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐบาล และทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วขึ้น นำโดยสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งประเมินว่ายังต้องการวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีกกว่า 30 ล้านโดส เพื่อให้ครอบคลุม 70% ของประชากรทั้งประเทศในปีนี้
วัคซีนทางเลือก ได้แก่ 1 ประเทศสหรัฐอเมริกา วัคซีน Moderna และ Pfizer 2. ประเทศจีน วัคซีน Sinopharm และ CanSino Biologics 3. ประเทศอินเดีย วัคซีน COVAXIN จากบริษัท Bharat Biotech และ 4 ประเทศรัสเซีย วัคซีน Sputnik V
เอกชนพร้อมจ่ายค่าวัคซีนฉีดพนักงาน
เมื่อวันที่ 23 เมษายนที่ผ่านมา สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้เปิดให้บริษัทเอกชนจองซื้อวัคซีนโควิด-19 แล้ว ที่เว็บไซต์ https://thaichamber.org/question/159 ล่าสุดมีหลายบริษัทแจ้งความต้องการมากกว่า 1 ล้านโดส
ขั้นตอนการจัดซื้อวัคซีนของภาคเอกชนทุกล็อต จะต้องดำเนินการแบบรัฐต่อรัฐ เนื่องจากผู้ผลิตวัคซีนทุกยี่ห้อ จะไม่ขายวัคซีนให้เอกชนโดยตรง เนื่องจากยังเป็นวัคซีนฉุกเฉิน ซึ่งรัฐบาลแต่ละประเทศต้องเป็นผู้รับผิดชอบความปลอดภัยในการใช้งาน
คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เผยขณะนี้หลายบริษัทแจ้งความต้องการวัคซีนมามากกว่า 1 ล้านโดส หากครบ 5 ล้านโดส จะรีบส่งข้อมูลให้รัฐบาลเร่งจัดซื้อ หากจัดซื้อได้ตามแผนจะช่วยให้เปิดประเทศได้เร็วขึ้น และส่งผลให้เศรษฐกิจปีนี้โตได้ 1.5-3%
ด้าน น.พ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค บอกถึงแนวทางจัดซื้อวัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส โดยองค์การเภสัชกรรมจัดซื้อทั้งหมด จากนั้นภาคเอกชนโดยหอการค้าไทยจะบริจาคเงินให้รัฐจัดซื้อ 10 ล้านโดส เพื่อนำไปฉีดในกลุ่มลูกจ้าง ส่วนโรงพยาบาลเอกชน ต้องมาแบ่งซื้อจาก 35 ล้านโดส เพื่อนำไปฉีดในระบบโรงพยาบาลเอกชนภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยเดียวกันทั้งหมด
นายกฯ แจงเอกชนช่วยจัดหาให้พนักงาน 10-15 ล้านโดส
จากแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 21.00 น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สรุปแผนการจัดหาวัคซีน โดยตั้งเป้าหมายว่าจะต้องจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ให้ครบ 100 ล้านโดส เพื่อฉีดให้กับประชาชน 50 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2564
ที่ผ่านมาจัดหาแล้ว 64 ล้านโดส ประกอบด้วย AstraZeneca 61 ล้านโดส เริ่มส่งมอบเดือน มิถุนายนนี้ 6 ล้านโดส และเดือนต่อ ๆ ไปอีก เดือนละ 10 ล้านโดส Sinovac 2.5 ล้านโดส ส่งมอบแล้ว 2 ล้านโดส วันที่ 24 เม.ย. มาอีก 500,000 โดส ล่าสุด รัฐบาลจีนได้แจ้งบริจาควัคซีนให้ไทยอีก 500,000 โดส
ในส่วนที่จะต้องจัดหาเพิ่มเติมอีก 36 ล้านโดส นั้น รัฐบาลได้เจรจาจัดหาวัคซีนสปุตนิค วี จำนวน 5-10 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 5-10 ล้านโดส นอกจากนี้สภาหอการค้าไทย จะช่วยรัฐบาลจัดหาให้กับพนักงานลูกจ้างเองด้วย ประมาณ 10-15 ล้านโดส
เจ้าสัวธนินท์ หนุนนายกฯ เร่งหาวัคซีน 100 ล้านโดส
จากแผนการจัดหาวัคซีนทั้งภาครัฐและเอกชนดังกล่าว เจ้าสัวธนินท์ เจียรนวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ CP กล่าวว่า “ต้องชื่นชมนายกรัฐมนตรี ที่ได้มุ่งมั่นจัดหาวัคซีนและสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจอย่างมากว่าสิ้นปีนี้ประเทศไทยจะมีวัคซีนโควิด 100 ล้านโดส ฉีดให้คนไทย 50 ล้านคน และจะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้”
นอกจากนี้ข่าวดีที่รัฐบาลได้เจรจาจัดหาวัคซีน สปุตนิค วี 5-10 ล้านโดส และไฟเซอร์ อีก 5-10 ล้านโดส มาเพิ่มเติมอย่างรวดเร็วนั้น ถือเป็นสัญญานที่ดีมาก ซึ่งภาคธุรกิจก็พร้อมให้ความร่วมมือกับนโยบายรัฐ
ที่ผ่านมาประเทศไทยทำได้ดีมากในการจัดการโควิด-19 แต่ก็ไม่คาดคิดว่า จะมีการระบาดระลอก 3 ทำให้สถานการณ์กลับมายากลำบากอีกครั้ง ในวิกฤติต้องร่วมแรงร่วมใจกัน สู้ไปด้วยกันอีกครั้ง