สถานการณ์การขาดแคลนชิปเซ็ทดูท่าจะไม่จบแค่อุตสาหกรรมยานยนต์ และวงการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพราะล่าสุดมีรายงานว่าบริษัทยักษ์ใหญ่มูลค่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอย่างแอปเปิล (Apple) ก็อาจได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน ซึ่งความรุนแรงนั้นอาจทำให้การผลิตคอมพิวเตอร์ MacBook และ iPad ต้องล่าช้าได้เลยทีเดียว
ผู้ที่ออกมาเปิดเผยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวคือสำนักข่าว Nikkei ของญี่ปุ่นที่อ้างว่ามีการเลื่อนคำสั่งซื้อชิ้นส่วนสำหรับ iPad และ MacBook ออกไปก่อน จากครึ่งปีแรกเป็นครึ่งปีหลัง ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า เป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า Apple เองก็ขาดแคลนชิปสำหรับใช้ในการผลิตแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา Apple ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่สามารถบริหารจัดการซัพพลายเชนได้ดีที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก และบริษัทเองก็ไม่ได้แสดงตนว่าได้รับผลกระทบจากปัญหาการขาดแคลนชิปในช่วงก่อนหน้าเหมือนอย่างที่อุตสาหกรรมยานยนต์ และบริษัทผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต้องเผชิญด้วย โดยเฉพาะไอโฟนที่ยังมีสินค้าอยู่ไม่ได้ขาดตลาดแต่อย่างใด การออกมาเลื่อนคำสั่งซื้อชิ้นส่วนสำหรับ iPad และ MacBook ออกไปครั้งนี้จึงถือว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตาทีเดียว
เมื่อหันมาดูยอดขาย ข้อมูลจาก IDC ระบุว่า iPad ของ Apple เป็นผู้นำในตลาดแท็บเล็ต โดยมีส่วนแบ่งตลาดในปี 2020 มากถึง 32.5% (ตามมาด้วย Samsung, Huawei, Lenovo และ Amazon) ขณะที่ตลาดแล็ปท็อปนั้น MacBook ถือเป็นผู้เล่นเบอร์สี่ของตลาด ด้วยส่วนแบ่ง 7.6% ตามหลัง Lenovo, HP และ Dell
ส่วนในแง่ของยอดขายโดยรวมนั้น Apple ขายไอโฟนได้ประมาณ 200 ล้านเครื่องต่อปี MacBook มากกว่า 20 ล้านเครื่องต่อปี iPad 19 ล้านเครื่อง และ AirPods มากกว่า 70 ล้านคู่ต่อปี ซึ่งจะเห็นได้ว่า MacBook และ iPad เป็น 2 สินค้าสำคัญสำหรับแอปเปิลพอตัว
ไม่เฉพาะ Apple แต่คู่แข่งในวงการสมาร์ทโฟนอย่าง Samsung ก็ออกมายอมรับเช่นกันว่า การขาดแคลนชิปจะส่งผลกระทบต่อบริษัทในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายนนี้ รวมถึงค่ายรถยนต์อย่าง GM และ Ford Motors ที่ยุติการผลิตรถยนต์ในโรงงานหลายแห่งไปแล้ว
ชิปขาดแคลน สถานการณ์ที่ไม่จบลงง่าย ๆ
การผลิตชิปเพิ่มอาจไม่ใช่หนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาชิปขาดแคลนในเวลานี้ได้ ส่วนหนึ่งเพราะความต้องการใช้ชิปจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ นั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ก่อนหน้านี้อาจไม่ได้มีการวางแผนเรื่องซัพพลายเชนด้านชิปเซ็ตไว้มากพอ
ข้อมูลจาก IHS และ Deloitte Analysis พบว่า รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ทุกวันนี้มีการใช้ชิปเซ็ตต่าง ๆ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 40% ของราคารถ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 45% ภายในปี 2030 ด้วย ซึ่งหากย้อนไปดูตัวเลขดังกล่าวในปี 2000 จะพบว่า ราคาของชิปเซ็ตต่าง ๆ คิดเป็น 18% ของราคารถยนต์เท่านั้น
ขอบคุณภาพจาก Bloomberg
ส่วนความต้องการในระยะสั้น ก็พบว่ายังมีเพิ่มขึ้นจากตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้คนต้องซื้อคอมพิวเตอร์ – สมาร์ทโฟน – แท็บเล็ตเพิ่มเพื่อรับกับการทำงานจากระยะไกล ซึ่งทาง IDC คาดว่า ความต้องการดังกล่าวจะทำให้ตลาดคอมพิวเตอร์พีซีในปีนี้เติบโตมากกว่า 18% เลยทีเดียว และเป็นโอกาสที่ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีบอกว่าไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
ทว่า เมื่อหันไปมองบริษัทผู้ผลิตชิปในท้องตลาด ก็ต้องบอกว่า บริษัทที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงและสามารถผลิตชิปในระดับแอดวานซ์ได้นั้น ไม่ได้มีจำนวนมากนัก โดยผู้ผลิตรายใหญ่ที่มีกำลังการผลิตในระดับดังกล่าวปักหลักอยู่ที่ไต้หวันและเกาหลีใต้ และนั่นส่งผลให้ความต้องการชิปจากทุกอุตสาหกรรมทั่วโลกพุ่งไปกดดันให้มีการผลิตชิปเพิ่มขึ้นเพื่อธุรกิจของตนเอง เพียงแต่หลังจากนี้ ดูเหมือนว่า ยักษ์ใหญ่จากอุตสาหกรรมต่าง ๆ อาจเจอคู่แข่งที่ชื่อ Apple เพิ่มเข้ามาด้วยนั่นเอง
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand