ทุกวันนี้ใครๆ ก็อยากเป็นเจ้าของกิจการ บางคนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ มาลุยธุรกิจตัวเองเต็มตัว ขณะที่บางคนเลือกเป็นมนุษย์เงินเดือน ควบกับการทำธุรกิจของตัวเอง เพื่อหารายได้เสริม และคนรุ่นใหม่อีกหลายคน รู้สึกว่าเมื่อจบการศึกษาแล้ว ไม่อยากเป็นพนักงานประจำ อยากเลือกเส้นทางฟรีแลนซ์ หรือทำธุรกิจเองมากกว่า
แน่นอนว่าการเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่เรื่องง่าย! ยิ่งในสถานการณ์ COVID-19 ที่ทุกอย่างอยู่บนความไม่แน่นอน และผันผวนตลอดเวลา ทำให้การทำธุรกิจในยุคนี้ ต้องแบกรับความเสี่ยงทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นมากมาย
หนึ่งในรูปแบบธุรกิจที่สร้างโอกาส และช่วยลดความเสี่ยงให้กับผู้อยากเป็นเจ้าของกิจการ คือ “ธุรกิจแฟรนไชส์” ทว่าปัจจุบันเราจะพบว่ามีแฟรนไชส์มากมาย โดยเฉพาะในธุรกิจอาหาร ในขณะที่ “เงินทุน” ของคนที่อยากเป็นผู้ประกอบการนั้น กลับมีจำกัด
เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญของการลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ที่ใช่! จึงอยู่ที่การเลือกแฟรนไชส์ที่มีความมั่นคง มีความน่าเชื่อถือ และมีศักยภาพ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะขายได้ดี เติบโตในระยะยาว และขยายธุรกิจให้ใหญ่โตขึ้นได้
กรณีศึกษา “Five Star” (ไก่ห้าดาว) เชนร้านไก่ย่าง สู่ “แฟรนไชส์” เข้าถึงทุกชุมชน-สร้างโอกาสให้ทุกคน
จากจุดเริ่มต้น “ร้านไก่ย่างห้าดาว” เมื่อ 36 ปีที่แล้ว เป็นธุรกิจในเครือ CPF ที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพ และรสชาติถูกปากคนไทย ทำให้ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี จนเติบโตขยายสาขาอย่างรวดเร็ว
ต่อมาบริษัทฯ มองเห็นความต้องการของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และวิถีชีวิตที่ต้องการความสะดวก ประกอบกับการขยายตัวของเมือง ทำให้เกิดชุมชน เกิดย่านที่อยู่อาศัยใหม่ๆ ดังนั้น ในปี 2543 จึงได้ตัดสินใจปรับโมเดลธุรกิจร้านไก่ย่างห้าดาว สู่รูปแบบแฟรนไชส์ เพื่อสร้างโอกาสให้ทุกคนสามารถเป็นเถ้าแก่ได้ และเกิดการสร้างงาน
ถึงวันนี้ร้านไก่ย่างห้าดาว ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “Five Star” หรือ “ห้าดาว” พัฒนาเมนูมากมาย และมีสาขาแฟรนไชส์มากกว่า 5,000 สาขาทั่วประเทศ และกว่า 2,300 สาขาในต่างประเทศ
ความสำเร็จที่ทำให้แบรนด์ “Five Star” หรือที่เรียกติดปาก “ไก่ห้าดาว” ไม่เพียงแค่ครองใจผู้บริโภคมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษเท่านั้น แต่ยังเป็นแฟรนไชส์ที่มีผู้สนใจอยากเป็นเจ้าของกิจการ เลือกเริ่มต้นธุรกิจกับ Five Star จำนวนมาก มาจาก 5 องค์ประกอบคือ
1. Brand Reputation จากชื่อเสียงองค์กร – แบรนด์เป็นที่ยอมรับ และประสบการณ์
“Brand Reputation” เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์สำคัญในการพิจารณาเลือกลงทุนในแฟรนไชส์ เนื่องจากเป็นสิ่งบ่งบอกความมั่นคง และน่าเชื่อถือ (Trust) ของแบรนด์แฟรนไชส์นั้นๆ โดยหลักมาจาก 3 ส่วนประกอบกันคือ
– ชื่อเสียงองค์กร การลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์ ผู้ประกอบการควรศึกษา และพิจารณาไปถึงองค์กร ที่เป็นเจ้าของแบรนด์แฟรนไชส์ เพราะหากเป็นองค์กรที่มั่นคง มีการพัฒนา และเติบโต ย่อมสร้างความมั่นใจได้ว่าแบรนด์แฟรนไชส์นั้น มีมาตรฐาน มีทิศทางและแผนธุรกิจที่ชัดเจน
– แบรนด์แฟรนไชส์ เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ และเข้าถึงฐานลูกค้าในวงกว้าง แบรนด์ที่ผู้บริโภครู้จักเป็นอย่างดี และมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ทำให้นักธุรกิจ หรือผู้ประกอบการที่ลงทุนในแฟรนไชส์นั้น ไม่ต้องสร้างการรับรู้ในแบรนด์ และเริ่มต้นนับหนึ่งในการสร้างฐานลูกค้าของตัวเอง
– ความเชี่ยวชาญของแบรนด์แฟรนไชส์ เป็นอีกปัจจัยที่บ่งบอกประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพของแบรนด์ แฟรนไชส์
ดังนั้น จุดแข็งสำคัญที่ทำให้ “Five Star” ครองความเป็นผู้นำธุรกิจแฟรนไชส์ร้านอาหารมายาวนาน คือ Brand Reputation อันแข็งแกร่ง ทั้งการอยู่ในเครือ CPF บริษัทมหาชนที่ดำเนินธุรกิจเกษตกรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ผสานกับความเชี่ยวชาญของ Five Star ที่สั่งสมมา 36 ปี ได้พัฒนาสูตรความสำเร็จธุรกิจแฟรนไชส์ไว้อย่างครบวงจร จึงช่วยให้ผู้เริ่มต้นทำธุรกิจ แม้ไม่มีประสบการณ์การทำธุรกิจ และไม่มีประสบการณ์ทำอาหารมาก่อน ก็สามารถเริ่มได้ทันที
2. ลงทุนน้อย – คืนทุนไว – โมเดลร้านหลากหลาย – ขายได้ทุกที่ ทุกทำเล
ต้นทุนธุรกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่คนทำธุรกิจทุกคนต้องศึกษา ซึ่งการลงทุนแฟรนไชส์ ผู้สนใจลงทุน ต้องศึกษาและทำความเข้าใจค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เช่น ค่าธรรมเนียมแรกเข้า (Franchise Fee) ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Royalty Fee) ต้นทุนการดำเนินธุรกิจต่างๆ เช่น ค่าตกแต่งร้าน ต้นทุนการสั่งซื้อสินค้า ค่าจ้างพนักงาน ขณะเดียวกันต้องคำนวณยอดขาย และกำไร จะทำให้ผู้ประกอบการทราบถึงจุดคุ้มทุนของการลงทุนในแฟรนไชส์นั้นๆ
สำหรับโมเดลธุรกิจแฟรนไชส์ Five Star ถูกออกแบบมาบนแนวคิดที่ว่าลงทุนน้อย ด้วยราคาเริ่มต้นหลักหมื่น ก็เปิดร้านได้แล้ว และคืนทุนไว ยิ่งร้านไหนตั้งอยู่ในทำเลดีมากๆ จะยิ่งสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นให้กับร้านสาขานั้นๆ
ขณะเดียวกัน Five Star มีรูปแบบร้านให้เลือกหลากหลาย ทั้งแบบคีออส ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก ไปจนถึงรูปแบบร้านอาหารมีที่นั่งให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้สนใจลงทุนแฟรนไชส์
นอกจากนี้ ข้อดีของการมีร้านหลายรูปแบบ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นสูงในการนำร้านฟอร์แมตต่างๆ เข้าไป Match กับทำเลที่แตกต่างกัน ทำให้จุดขายกระจายเข้าถึงชุมชนได้ครอบคลุมทุกโซน ทุกพื้นที่
3. มีระบบบริหารจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพ ทันสมัย และสะดวกรวดเร็ว
ระบบแฟรนไชส์มืออาชีพ ต้องมาพร้อมกับการมีระบบบริหารจัดการที่ดี และครบวงจรให้กันนักธุรกิจ เพื่อรักษาคุณภาพ มาตรฐานของแบรนด์ และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินกิจการให้กับนักธุรกิจ เพราะการมีระบบที่ดี ทำให้เจ้าของธุรกิจสามารถบริหารกิจการได้อย่างคล่องตัว ลดความยุ่งยาก ความซับซ้อนในการดำเนินธุรกิจ และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย การให้บริการแก่ลูกค้า
อย่างแฟรนไชส์ Five Star นักธุรกิจ หรือเถ้าแก่ห้าดาว จะได้รับการซัพพอร์ตระบบ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ครบวงจร เช่น
– สิทธิการใช้เครื่องหมายการค้า
– ระบบการบริหารบัญชี POS
– ระบบสั่งซื้อวัตถุดิบ และสินค้าต่างๆ ที่ใช้งานง่าย พร้อมทั้งมีการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อให้สะดวกรวดเร็วต่อการทำงาน
– ระบบโลจิสติกส์จัดส่งสินค้า และวัตถุดิบต่างๆ ให้แฟรนไชส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรวดเร็ว
– มีการจัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไว้พร้อม
– มีทีมงานออกแบบตกแต่งร้าน และเตรียมความพร้อมต่างๆ
– มีคู่มือการปฏิบัติงานที่ร้านในรูปแบบต่างๆ ที่เข้าใจง่าย ใช้งานง่าย เพื่อทำให้การทำงานที่ร้าน และการดูแลร้านเป็นเรื่องง่าย และมีประสิทธิภาพ
– มีทีมงานเทรนนิ่ง เพื่อฝึกอบรม และให้ความรู้แฟรนไชส์สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกสุขอนามัย ปลอดภัยทั้งต่อตัวเอง และลูกค้า รวมทั้งเพื่อให้แฟรนไชส์มีความมั่นใจในการเปิดร้าน
– มีทีมคอยช่วยดูแล และให้คำแนะนำการดูแลอุปกรณ์ให้อยู่ในสภาพดีอยู่เสมอ
4. สร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้า ด้วยมาตรฐานระดับโลก
การไม่หยุดพัฒนาสินค้าของแบรนด์แฟรนไชส์ จะทำให้ผู้ซื้อแฟรนไชส์มีสินค้าใหม่นำเสนอลูกค้าตลอด เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า พร้อมกับการขยายฐานลูกค้าใหม่
เพราะฉะนั้นนอกจากมีเครือข่ายสาขาแฟรนไชส์เข้าถึงชุมชน และครอบคลุมทั่วประเทศแล้ว อีกจุดเด่นของ Five Star คือ การใช้วัตถุดิบคุณภาพ มีความปลอดภัย ได้มาตรฐานจากโรงงานเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับโลก และมีทีม R&D พัฒนานวัตกรรมสินค้าที่เป็นเมนูใหม่ เพื่อสร้างความหลากหลาย และเข้าไปอยู่ในทุกโอกาสการบริโภคของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นมื้อหลัก เช่น ไก่ย่างห้าดาว ไก่ย่างทรงเครื่อง ไก่ทอด ไก่ทอดเกลือ และมื้อรอง เช่น ไก่จ๊อ ลูกชิ้น
5. สื่อสารการตลาด – จัดกิจกรรมการตลาด – ทำโปรโมชั่น และเพิ่มช่องทางการขายผ่าน Food Delivery
ในการตลาด มีกลยุทธ์ Push & Pull Strategy โดย Push Strategy คือ การผลักดันสินค้าเข้าสู่ช่องทางการขายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าออฟไลน์ และร้านบนออนไลน์ ขณะที่ Pull Strategy คือ การทำให้สินค้า/แบรนด์ที่เป็นรับรู้ และดึงความสนใจจากผู้บริโภค มาซื้อสินค้าที่ร้านค้า หรือบนออนไลน์
ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี Five Star ให้ความสำคัญทั้ง Push & Pull Strategy โดย Push Strategy คือ การขยายสาขาแฟรนไชส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และปัจจุบันได้ขยายช่องทางการขายบนแพลตฟอร์ม Food Delivery อย่าง Star Delivery ที่เป็นของทาง Five Star เอง และพาร์ทเนอร์อย่าง Gojek, Grab โดยใช้สาขาร้านเป็น Network ให้บริการ Delivery
การมีบริการ Delivery เพิ่มเข้ามา ช่วยเพิ่มโอกาสการขายให้กับนักธุรกิจ หรือเถ้าแก่ห้าดาว ที่ไม่ต้องรอลูกค้ามาซื้อที่หน้าร้านอย่างเดียว แต่ยังมีรายได้จากการขายผ่าน Delivery
ขณะที่ Pull Strategy สำหรับ Five Star คือ สื่อสารการตลาด ทั้งภาพยนตร์โฆษณา ช่องทางการสื่อสารออฟไลน์ – ออนไลน์ จัดกิจกรรมการตลาด และทำโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์ห้าดาว เป็น Top of Mind Brand ที่เวลาพูดถึงไก่ย่าง ไก่จ๊อ หรือเมนูไก่ต่างๆ ผู้บริโภคจะนึกถึงห้าดาว เป็นแบรนด์แรกเสมอ
จาก 5 ปัจจัยความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ Five Star เป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จัก และผูกพันมาถึงทุกวันนี้ ดังนั้นใครที่มีความฝันอยากเป็นเถ้าแก่ เป็นเจ้าของกิจการ ไม่ว่าเพื่อหารายได้เสริม หรือจะเป็นเจ้าของกิจการเต็มตัว วันนี้ความฝันนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ทันทีกับ Five Star โดยผู้สนใจ ลงทะเบียนธุรกิจแฟรนไชส์ได้ที่นี่ https://fivestar.in.th/contact-us/#section-register