การเกิดขึ้นของสถานการณ์ COVID-19 ทำให้องค์กรต่างๆ ใช้นโยบาย Work From Home กันแบบข้ามปี และเมื่อการแพร่ระบาดคลี่คลาย หลายองค์กรในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ วางแผนให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ
แต่การกลับมาทำงานในครั้งนี้ แตกต่างจากเดิม โดยหลายองค์กรปรับรูปแบบเป็น Hybrid Workplace ที่ผสมกันระหว่างการเข้าออฟฟิศ กับทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Remote Working) ด้วยการใช้เทคโนโลยีเชื่อมต่อการทำงาน เพื่อสร้างความยืดหยุ่นให้กับพนักงานได้มีทางเลือกรูปแบบการทำงานมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นสลับให้เข้ามาที่ออฟฟิศ กับทำงานจากที่บ้าน หรือที่ไหนก็ได้ ขณะที่บางองค์กร ให้พนักงานส่วนหนึ่งทำงานแบบ Remote Working ได้ถาวร หรือบางองค์กร เตรียมความพร้อมให้ Remote Working 100% ในอนาคต
เหตุผลสำคัญที่เวลานี้หลายองค์กรใช้นโยบายการทำงานแบบ Flexible หรือ Hybrid Working มากขึ้น นั่นเพราะ
1. Social Distance และความปลอดภัยของพนักงานยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถึงแม้ปัจจุบันหลายประเทศ เริ่มเปิดประเทศแล้ว และกิจกรรมทางเศรษฐกิจฟื้นกลับมา ในขณะที่ผู้คนออกไปใช้ชีวิตนอกบ้านแทบจะใกล้เคียงก่อนเกิดการแพร่ระบาดแล้วก็ตาม แต่เพื่อความไม่ประมาท การลดความหนาแน่นในออฟฟิศจึงเป็น Solution หนึ่งของการสร้างความปลอดภัยใหัพนักงาน
2. ปรับให้สอคคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตผู้คน
3. ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี เพื่อทลายข้อจำกัดด้านภูมิศาสตร์ และการเดินทาง
4. เปิดโอกาสดึงดูด Talent จากทั่วโลก โดยสามารถทำงานได้จากทุกที่ทั่วโลก ไม่จำเป็นว่าต้องมาประจำสำนักงานใหญ่ หรือสำนักงานประจำภูมิภาค
5. ทำให้องค์กรประหยัดค่าใช้จ่าย
Apple ให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ และทำงานจากที่ไหนก็ได้ 2 สัปดาห์ต่อปี
อย่างล่าสุด “Apple” ประกาศให้พนักงานเตรียมกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศในเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป โดยให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ คือ วันจันทร์ อังคาร และพฤหัสบดี ส่วนอีก 2 วันคือ วันพุธ และศุกร์ พนักงานสามารถทำงานรูปแบบ Remote Working คือ ทำงานจากที่ไหนก็ได้
ส่วนทีมที่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ เนื่องจากประเภทของงาน และรูปแบบการทำงาน ก็สามารถเข้ามาที่ออฟฟิศ 4 – 5 วันต่อสัปดาห์ได้
นอกจากนี้ พนักงานยังมีโอกาสทำงาน Remote Working ได้ถึง 2 สัปดาห์ต่อปี โดย Apple ให้เหตุผลว่าเพื่อให้พนักงานได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว หรือคนที่คุณรักมากขึ้น และเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน หรือเหตุผลอื่นๆ ของแต่ละบุคคล ซึ่งการใช้สิทธิ์นี้ พนักงานต้องขออนุมัติจากผู้จัดการก่อน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Remote Working ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงาน ยิ่งในช่วงปีที่ผ่านมา COVID-19 ระบาดหนัก พนักงานต้องทำงานที่บ้าน หรือจากที่ๆ ตนเองสะดวก แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับส่งผลกระทบต่อการสร้างความสัมพันธ์ในที่ทำงาน
Tim Cook บอกกับพนักงานว่า ถึงแม้การทำงานรูปแบบ Remote Working เป็นไปด้วยความราบรื่น แต่ก็ไม่สามารถมาแทนที่การได้ไปเจอหน้ากันจริงๆ และการที่หลายคนต้องแยกกันทำงาน ทำให้มีสิ่งสำคัญบางอย่างขาดหายไปในช่วงปีที่ผ่านมา นั่นคือ การมีการและกัน
“ผมรู้ว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียวว่า การทำงานจากทางไกล ทำให้เรากำลังขาดทั้งบรรยากาศของการทำกิจกรรมร่วมกัน พลังงาน ความคิดสร้างสรรค์ และการสร้างความร่วมมือด้วยกัน และความรู้สึกของการสร้าง Community ร่วมกัน”
Big Tech Company พร้อมใจปรับรูปแบบทำงานเป็น Hybrid Working
ไม่เพียงแต่ Apple ที่ปรับนโยบายการทำงานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น เวลานี้ยังมีอีกหลาย Tech Company รายใหญ่มาในแนวทาง Hybrid Workplace เช่น
“Google” เตรียมให้พนักงานกลับมาทำงานในเดือนกันยายนนี้ พร้อมทั้งปรับให้เป็น Hybrid Working โดยพนักงาน 60% ทำงานที่ออฟฟิศ 2 – 3 วันต่อสัปดาห์ ขณะที่ 20% สามารถย้ายไปทำงานสำนักงานสาขาของ Google ได้ และอีก 20% ของพนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้ถาวร
ผลจากนโยบาย Work From Home ก่อนหน้านี้ ทำให้ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 268 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากสามารถลดค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายด้านความบันเทิงสำหรับพนักงาน
“Facebook” ประกาศเมื่อปลายปีที่แล้วว่าให้พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านได้เต็มเวลาเท่าที่ได้รับอนุมติจากผู้จัดการของตัวเอง โดย Mark Zuckerberg เคยกล่าวว่า Remote Work คืออนาคต
“Salesforce” ออกแบบการทำงานให้กับพนักงาน 3 รูปแบบคือ เข้าออฟฟิศ 1 – 3 วันต่อสัปดาห์ ทำงานจากทางไกล หรือที่ไหนก็ได้เต็มตัว (Fully Remote) และเข้าออฟฟิศเต็มตัว สำหรับคนที่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศ
- อ่านเพิ่มเติม: ให้ พนง. เลือกชีวิตที่ต้องการ Salesforce ร่วมวง WFH ชี้ทำงานแบบ 9-to-5 นั้นตกยุคไปแล้ว
Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand