HomeBrand Move !!8 สถิติกว่าจะมาเป็น Disney+ Hotstar ธุรกิจที่จะทำกำไรให้ดิสนีย์ในปี 2024

8 สถิติกว่าจะมาเป็น Disney+ Hotstar ธุรกิจที่จะทำกำไรให้ดิสนีย์ในปี 2024

แชร์ :

หลังจากที่รอคอยกันมานาน Disney+ Hotstar ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย โดยจะเริ่มสตรีมมิ่งกันในวันที่ 30 มิถุนายนนี้ แต่กว่าจะมาเป็น Disney+ Hotstar ที่หลายคนหลงรัก เส้นทางการต่อสู้ของพวกเขาก็น่าสนใจ และสามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการสตรีมมิ่งโลกได้ไม่น้อย วันนี้เราจึงขอนำ 8 สถิติที่น่าสนใจของ Disney+ Hotstar มาฝากกัน เพื่อให้การรับชมคอนเทนต์ของพวกเขาในวันที่ 30 มิถุนายนนี้มีอรรถรสยิ่งขึ้น

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

1. Disney+ โตแรงตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว

หากย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งเป็นเดือนที่ Disney+ เริ่มเปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ มีตัวเลขหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือจำนวนผู้สมัครใช้บริการในวันแรกที่พุ่งทะลุ 10 ล้านรายอย่างรวดเร็ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลให้มูลค่าหุ้นของ Disney เพิ่มขึ้นถึง 7.35% พร้อม ๆ กับดึงราคาหุ้นของ Netflix ให้ตกลงถึง 3.1% ได้พร้อม ๆ กัน

ทั้งนี้ เป้าหมายของ Disney+ ในปี 2019 คือการบอกว่า อยากมีผู้สมัครใช้บริการราว 60 – 90 ล้านคนภายในปี 2024

2. ใช้เวลา 17 เดือนสร้าง Subscribers ทะลุ 100 ล้าน

อย่างไรก็ดี เป้าหมายด้าน Subscribers ที่วางไว้ในปี 2019 ทาง Disney+ ใช้เวลาเพียง 17 เดือนก็สามารถทำได้สำเร็จ โดยมีรายงานว่า เดือนมีนาคม 2021 บริษัทมี Subscribers ทะลุ 100 ล้านคนเรียบร้อย

3. Disney+ ใช้กลยุทธ์ราคาดึงดูดใจตั้งแต่ต้น

หนึ่งในปัจจัยที่ดึงดูดให้คนหันมาสมัคร Disney+ อาจเป็นเรื่องของราคาค่าบริการ เพราะ Disney+ ตั้งราคาค่าบริการรายเดือนเมื่อครั้งเปิดตัวที่ 6.99 เหรียญสหรัฐ (หรือรายปีที่ 69.99 เหรียญสหรัฐ) ซึ่งถือว่าถูกกว่า Netflix ที่เก็บ 12.99 เหรียญสหรัฐต่อเดือนเกือบครึ่งหนึ่ง นอกจากนั้น ในช่วงแรกของการเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ยังมีการจับมือกับค่ายโอเปอเรเตอร์อย่าง Verizon ให้ลูกค้าสามารถรับชม Disney+ ฟรีหนึ่งปีด้วยอีกต่างหาก

4. การเติบโตรอบใหม่อยู่ใน “เอเชีย”

หลังจากเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และเนเธอร์แลนด์ไปแล้ว Disney+ ก็เริ่มเปิดให้บริการในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเปอร์โตริโกในสัปดาห์ต่อมา ก่อนจะขยายบริการมายังตลาดยุโรปในช่วงปี 2020 รวมถึงตลาดเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น แต่ที่น่าจับตาที่สุดคือการขยายตลาดมายังอินเดีย ซึ่งในตลาดอินเดีย Disney+ ได้เปิดตัวในชื่อ Disney+ Hotstar ร่วมด้วย

จากการรุกตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตัวเลข Subscribers ของ Disney+ เมื่อเดือนธันวาคม 2020 (หลังเปิดให้บริการเพียง 1 ปี) จึงมีมากกว่า 86 ล้านคน ทะลุเป้าเดิมไปเรียบร้อย

5. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายใหม่ปี 2021

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางดิสนีย์ได้ประกาศแผนรุกตลาดเพิ่มเติม โดยมี 3 ประเทศเป้าหมายที่จะเปิดตัวในปีนี้ นั่นคือ ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์

สำหรับประเทศไทย การแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้มีขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน โดยเป็นการเปิดตัวบริการ Disney+ Hotstar ที่จับมือกับค่ายโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่อย่างเอไอเอสได้สิทธิ์ Exclusive telecom operator ไปแต่เพียงผู้เดียว และทำให้ลูกค้าเอไอเอสสามารถรับชมได้ในราคาพิเศษร่วมด้วย นั่นคือเดือนละ 35 บาท (จากราคาปกติเดือนละ 99 บาท) ได้ 12 รอบบิล และพร้อมรับสิทธิดูฟรีเพิ่มอีก 1 เดือน (ดูฟรีในเดือนที่ 2)

ขณะที่แพกเกจปกติของทาง Disney+ Hotstar อยู่ที่เดือนละ 99 บาท หรือปีละ 799 บาท ซึ่งถือว่าแพงกว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว

6. ภาพยนตร์ 700 เรื่อง ซีรีส์ 14,000 ตอน

หนึ่งในจุดแข็งของบริการ Disney+ Hotstar คือเรื่องของคอนเทนต์ โดยจากการเปิดเผยของทางค่าย มีการบรรจุคอนเทนต์ทั้งระดับ Exclusive ที่ดูได้บนแพลตฟอร์ม Disney+ เพียงที่เดียวเอาไว้มากมาย เช่น WandaVision, The Falcon and The Winter Soldier, Loki, The Mandalorian, Luca, Star Wars: The Bad Batch, High School Musical: The Musical: The Series, The Mysterious Benedict Society, folklore: the long pond studio sessions, Hamilton ฯลฯ

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ไทยเปิดตัว Disney+ Hotstar เริ่มสตรีม 30 มิ.ย.นี้ สนนราคา 799 บาทต่อปี | Brand Buffet

7. ชี้พฤติกรรมคนไทยใช้เน็ตติดอันดับโลก

ในมุมของพฤติกรรมผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต จุดเด่นหนึ่งของประเทศไทยที่คุณปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป เอไอเอส มองเห็นก็คือ คนไทยใช้งานอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกก็จริง แต่ในแง่ของคอนเทนต์ คุณปรัธนามองว่า ที่ผ่านมา เราไม่เคยเข้าถึงพรีเมียมคอนเทนต์ในลักษณะ Top Content มาก่อน จึงมองว่าการร่วมมือกับ Disney+ Hotstar ครั้งนี้เป็นความท้าทายในแง่ของตลาดคอนเทนต์ และเชื่อว่าจะทำให้เกิดการรับชมที่เพิ่มขึ้นตามมา รวมถึงในแง่ของเอไอเอส ในฐานะโอเปอเรเตอร์ ก็จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ดีขึ้นด้วย

8. Disney+ ตั้งเป้าใหม่ Subscribers 260 ล้านคน มีกำไรในปี 2024

เมื่อเห็นการเติบโต ประกอบกับเห็นถึงพลังของคนรักคอนเทนต์ดิสนีย์ที่มีอยู่ทั่วโลก เมื่อเดือนธันวาคม 2020 ทางบริษัทได้ประกาศกับนักลงทุน โดยระบุเป้าหมายด้าน Subscribers ใหม่เป็น 230 – 260 ล้านคน พร้อมบอกว่าจะทำให้ได้ภายในปี 2024 หรืออีก 3 ปีนับจากนี้

พร้อมคาดการณ์ว่าในปีดังกล่าว บริการ Disney+ จะเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้กับบริษัทอย่างเต็มตัว หลังจากที่ปีการเงิน 2020 แผนก Direct-to-Consumer (ที่ Disney+ ถูกรวมอยู่ด้วย) ยังขาดทุนอยู่ถึง 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ

Source

Source

 


แชร์ :

You may also like