Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
ผลมาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ทำให้คนต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตการทำงาน จากเข้าออฟฟิศ เป็นการทำงานที่บ้าน นานวันเข้าทำให้คนคุ้นชินกับ Work From Home หรือ Work From Anywhere แล้ว ทำให้เมื่อบริษัทประกาศให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศได้แล้ว จึงพบว่ามีพนักงานจำนวนไม่น้อย ต้องการการทำงานรูปแบบ “Hybrid Working”
นั่นคือ มีการทำงานยืดหยุ่น สามารถเลือกได้ว่าจะทำงานจากที่บ้าน หรือ Remote Working และวันไหนจะเข้าออฟฟิศ มากกว่าจะต้องเข้าออฟฟิศทุกวันเหมือนแต่ก่อน
อย่างเวลานี้บริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ ประกาศให้พนักงานเตรียมกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ โดยหลายองค์กรเลือกปรับรูปแบบการทำงานเป็น Hybrid Working
เช่น Apple จะให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศในเดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป โดยให้พนักงานเข้าออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์คือ วันจันทร์ วันอังคาร และวันพฤหัสบดี ส่วนอีก 2 วันคือ วันพุธ และวันศุกร์ ให้พนักงานทำงาน Remote Working ได้ รวมไปถึง Big Tech Company อีกหลายองค์กร ใช้นโยบาย Hybrid Working เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Google, Facebook, Saleforce
อ่านเพิ่มเติม: Hybrid Workplace มาแรง! Apple และเหล่า Big Tech ให้พนักงานเข้าออฟฟิศ สลับ Remote Working
Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
ผลสำรวจชี้ พนักงาน 91% อยากทำงานยืดหยุ่น – 75% ไม่อยากเสียเวลาเดินทางไปออฟฟิศ
จากผลการศึกษา Cisco Global Workforce Survey รายงานว่าก่อนเกิดสถานการณ์ COVID-19 มีเพียง 9% เท่านั้นที่ทำงานจากที่บ้าน (Work From Home)
แต่ในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมาที่ทั่วโลกเผชิญกับการแพร่ระบาด COVID-19 ปรากฏว่ามี 91% ของพนักงานบอกว่า ต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น และมีทางเลือก สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เช่น บางวันทำงานที่ออฟฟิศ ขณะที่บางวันทำงานที่บ้าน หรือจากทางไกล
อย่างไรก็ตาม การปรับรูปแบบการทำงานเป็น Work From Home หรือ Remote Working เป็นความท้าทายขององค์กร และพนักงานเช่นกัน เนื่องจากต้องปรับทั้ง Mindset วัฒนธรรมการทำงาน และรูปแบบการทำงานมาอยู่บนระบบออนไลน์ แต่ผ่านไป 15 เดือน พบว่า
- 79% ของพนักงานพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกันเสมอไป เพื่อทำงานร่วมกัน ถึงจะบรรลุผลสำเร็จของงาน
- 65% ของพนักงานบอกว่า ได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้างานมากขึ้นว่า การทำงานที่บ้าน หรือจากทางไกล สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกัน
- 75% ของพนักงานบอกว่า ไม่ต้องการใช้เวลาเดินทางไปออฟฟิศ แต่สามารถทำงานจากที่บ้าน หรือที่ใดก็ได้ที่ทำให้เขาเริ่มงานได้เลย
- 95% ของพนักงานรู้สึกไม่มั่นใจที่จะต้องกลับเข้ามาทำงานในออฟฟิศ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดในปัจจุบัน
- 72% ของพนักงานบอกว่า การทำงานอยู่ที่บ้าน ทำให้ตัวเขาเองมีเวลาออกกำลังกายมากขึ้น
จาก Insights ของพนักงานดังกล่าว มาดูโลกการทำงานยุคใหม่ ทั้งในฝั่งองค์กร และพนักงานจะปรับเปลี่ยนไปในทางไหน ?
การทำงานแบบ Hybrid เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบระยะยาวต่อวัฒนธรรมการทำงาน รวมถึงการมีส่วนร่วมในอีเวนท์และกิจกรรมต่างๆ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
- 98% ของการประชุมจะมีผู้เข้าร่วมประชุมอย่างน้อย 1 คนที่ประชุมจากข้างนอกออฟฟิศ ไม่ว่าจะเชื่อมต่อจากบ้าน จากไซต์งานลูกค้า หรือจากที่ใดก็ตาม
- 53% ขององค์กรมองว่าออฟฟิศแบบใหม่ จะมีขนาดเล็กลง และต้องสามารถรองรับการประชุม – การทำงานรูปแบบ Hybrid นี่จึงทำให้องค์กรต่างๆ เริ่มรีโนเวทออฟฟิศใหม่ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงการทำงานที่เกิดขึ้น
สอดคล้องกับความต้องการของฝั่งพนักงาน
- 96% ของพนักงานต้องการเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน
- 86% ระบุว่าการเสริมสร้างขีดความสามารถให้กับพนักงานที่ทำงานนอกสถานที่เพื่อให้สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันได้อย่างไร้รอยต่อและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
องค์กรเตรียมตัวรับยุค Hybrid Working
เมื่อการทำงานรูปแบบ Hybrid กลายเป็นวิถีปกติขององค์กร และพนักงาน ย่อมทำให้ Workplace ต้องปรับเปลี่ยน อาจไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ มีโต๊ะ-เก้าอี้ทำงานมากมายแบบในอดีตอีกแล้ว แต่เน้นขนาดเหมาะสม มีประสิทธิภาพสูง พร้อมทั้งลงทุนระบบเทคโนโลยีเพื่อการทำงาน และการประชุม เพื่อรองรับการทำงานที่ออฟฟิศ และการทำงาน Remote Working ที่ไม่สะดุด
หนึ่งในเทคโนโลยีการทำงานที่ทุกวันนี้กลายเป็น “สิ่งจำเป็น” สำหรับทุกองค์กร คือ “แพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์” เห็นได้จากผลสำรวจ 98% ของการประชุมจะมีผู้เข้าร่วมประชุมอย่างน้อย 1 คนที่ประชุมทางไกลจากบ้าน หรือจากไซต์งานลูกค้า หรือจากที่ใดก็ตาม
เพราะฉะนั้นหัวใจสำคัญของ แพลตฟอร์มการประชุมออนไลน์ จึงอยู่ที่การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ครบวงจร เช่น
– ใช้งานง่าย
– เชื่อมต่อกับทุก Device และทุกระบบปฏิบัติการ
– มีฟีเจอร์ครอบคลุมการทำงาน และการประชุม
– คุณภาพของภาพ และเสียงดี
– มีระบบความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว
– ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุม หรือคนที่ใช้ระบบทุกคนมีส่วนร่วมกับคนที่อยู่ในห้องประชุม เช่น คนประชุมทางไกลสามารถเห็น Interaction ในห้องประชุมได้เสมือนนั่งอยู่ในออฟฟิศ หรือสถานที่ประชุม
Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
Cisco รีแบรนด์แพลตฟอร์มการประชุม “Webex” ขยายฐานลูกค้ากว้างขึ้น แข่งกับ Zoom – Microsoft Teams
เมื่อเอ่ยถึงแพลตฟอร์มการทำงาน – การประชุมออนไลน์ มีหลายแพลตฟอร์มให้เลือกใช้ เช่น Microsoft Teams, Zoom, Google Meet, Slack, Skype, LINE ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นแตกต่างกัน และบางฟีเจอร์คล้ายกัน
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหนึ่งแพลตฟอร์มคือ “Webex” ของ Cisco ที่ผ่านมาอาจไม่ได้บุกตลาดมากนัก จึงไม่ได้มีการใช้อย่างกว้างขวางมากนักเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น
แต่ล่าสุดได้รีแบรนด์ครั้งใหญ่ ที่มาพร้อมกับโลโก้ใหม่ “Webex by cisco” เพื่อให้ดูทันสมัยขึ้น และเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้กว้างขึ้น ทั้งบุคคลทั่วไปที่สามารถดาวน์โหลดเวอร์ชั่นฟรีมาใช้ได้ และลูกค้าองค์กร เช่น หน่ายงานราชการ สถานศึกษา ภาคเอกชนกลุ่มธุรกิจต่างๆ
“ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เราได้เพิ่มฟีเจอร์และอุปกรณ์ใหม่ 800 รายการให้กับ Webex เพื่อสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยืดหยุ่นมากที่สุดสำหรับธุรกิจที่ต้องการการทำงานแบบ Hybrid และสำหรับพนักงานที่ต้องการทำงานได้จากทุกที่” คุณฮาริฮาราน เอส กรรมการผู้จัดการของซิสโก้ ด้าน ซอฟต์แวร์ คลาวด์ และการทำงานร่วมกัน ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ญี่ปุ่น และจีน กล่าว
ฟีเจอร์ไฮไลท์ Webex มั่นใจว่าจะเป็นหมัดเด็ดใช้สร้างฐานผู้ใช้งาน เช่น
– ชุดโซลูชั่นใหม่ Webex Suite รองรับการทำงานครอบคลุมทั้งการประชุม โทรติดต่อ รับ-ส่งข้อความ สำรวจความเห็น และกิจกรรมต่างๆ รวมอยู่ใน Solution เดียว
– เครื่องมือโต้ตอบกับผู้ชม เทคโนโลยี Slido ทั้งการสำรวจความเห็น แบบทดสอบ ถาม-ตอบ และอื่นๆ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ชม (Audience Engagement) ปัจจุบันฟีเจอร์นี้พร้อมใช้งานแล้วในส่วนของการประชุม และต่อไปจะรองรับการใช้งานส่วนของอีเว้นท์
– ระบบเสียงอัจฉริยะตัดเสียงรบกวน My Voice Only ช่วยขจัดเสียงรบกวนรอบข้าง รวมถึงเสียงพูดของคนอื่นๆ และจะโฟกัสเฉพาะเสียงพูดของผู้ใช้เป็นหลัก โดยจะพร้อมใช้งานทั่วโลกในเดือนสิงหาคม 2564
– ระบบกล้องอัจฉริยะ People Focus ใช้เทคโนโลยี Machine Learning และ AI เพื่อจับภาพผู้เข้าร่วมการประชุมแต่ละคนที่นั่งอยู่ตามจุดต่างๆ ในห้องประชุม ทำให้ผู้เข้าร่วมที่อยู่นอกสถานที่รู้สึกใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และทุกคนในที่ประชุมจะสามารถมองเห็นภาษากาย การแสดงสีหน้า และอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการสื่อความหมาย
– Webex Desk อุปกรณ์แบบครบวงจรสำหรับการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับติดตั้งบนโต๊ะในที่ทำงานหรือที่บ้าน
– Webex Assistant Skills รองรับการสั่งงานด้วยเสียง โดยผนวกรวมเข้ากับส่วนควบคุม คอนเทนต์ และแอปพลิเคชันต่างๆ อย่างไร้รอยต่อสำหรับ Webex devices
– การป้องกันข้อมูลสูญหายแบบเรียลไทม์ โดยแพลตฟอร์ม Webex จะบล็อกและลบข้อมูลที่เป็นความลับโดยอัตโนมัติ เช่น การส่งข้อความ ด้วยการป้องกันข้อมูลสูญหายแบบเรียลไทม์นี้ ผู้ใช้สามารถห้ามไม่ให้เนื้อหาที่เป็นความลับถูกจัดเก็บไว้ในคลาวด์ แทนที่จะแก้ไขหรือลบเนื้อหาหลังจากโพสต์
นอกจากนี้ New Webex ยังนำเสนอข้อมูล Residency ของ EU อย่างเต็มรูปแบบทั่วทั้งภูมิภาค EMEAR (ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา รัสเซีย) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้โฮสต์ข้อมูล Webex ของตนได้ 100% ในยุโรป ทำให้ใช้งานได้แบบ end-to-end ตลอดเวลา ด้วยการเข้ารหัสด้วยข้อมูลประจำตัวที่ยืนยันแล้วเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ให้บริการคลาวด์ หรือใครก็ตามสามารถฟังการประชุมของคุณได้
Credit Photo : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
“การทำงานแบบ Hybrid จำเป็นต้องมีภาวะผู้นำ วัฒนธรรม ความคิดที่คำนึงถึงผู้คนเป็นหลัก รวมถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมซึ่งมอบประสบการณ์อย่างเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดก็ตาม
ภารกิจของ Cisco (ซิสโก้) คือการขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคน (Inclusive Future for All) โดยกลยุทธ์การสร้างฐานผู้ใช้งาน Webex เราเน้นการสร้างประสบการณ์การใช้งาน เพื่อทำให้ทุกคนทำงาน ประชุม รวมถึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ด้วยเครื่องมือที่จะทำให้ทุกคนอยู่ในโลกของ Hybrid อย่างเท่าเทียม” คุณทวีวัฒน์ จันทรเสโน กรรมการผู้จัดการของซิสโก้ในประเทศไทยและอินโดจีน สรุปทิ้งท้าย