เป็นเชนค้าปลีกที่เติบโตสวนวิกฤต COVID-19 และเศรษฐกิจโลกอย่างแท้จริง สำหรับเชนร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์สัญชาติจีน “MINISO” ที่ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา เปิดสาขาใหม่ไปแล้ว 364 สาขา เท่ากับโดยเฉลี่ยในทุกวันจะมีสาขาใหม่ เปิดเพิ่มขึ้น 1 สาขา ทำให้โดยรวมมีสาขา 4,587 สาขา ใน 95 ประเทศทั่วโลก
ในขณะที่รายได้ไตรมาส 3/2021 (สิ้นสุดมีนาคม 2021) อยู่ที่ 2,229.4 ล้านหยวน หรือ 340.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 37% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของงบการเงินปีก่อน แต่ลด 3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2021 ส่วนกำไร อยู่ที่ 626.5 ล้านหยวน หรือ 95.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของงบการเงินปีก่อน แต่ลด 2.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ปัจจัยที่ทำให้ “MINISO” ยังคงเติบโตท่ามกลางวิกฤต COVID-19 ที่สร้างผลกระทบในหลายอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจค้าปลีกทั่วโลก มาจาก 3 กลยุทธ์หลักคือ
1. แผน “X Strategy” ปั้นแบรนด์ใหม่ – เปิดร้านของเล่น “TOP TOY” ขยายอาณาจักรธุรกิจเป็นมากกว่าร้านสินค้าไลฟ์สไตล์
จากจุดเริ่มต้นการเป็นร้านขายสินค้าไลฟ์สไตล์ ดีไซน์เรียบง่าย ราคาถูก มีสินค้าหลากหลายหมวดหมู่ในเลือก จนสามารถแจ้งเกิดได้ทั้งในจีน และอีกกว่า 90 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งปัจจุบันเป็นบริษัทมหาชน อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายใหญ่ของกลุ่มบริษัท “MINISO” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเป็นเชนร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์เท่านั้น หากแต่ในปี 2021 ต้องการสร้างอาณาจักรค้าปลีกให้เติบโต และแข็งแกร่ง ภายใต้แผน “X Strategy” นั่นคือ การกระจายธุรกิจ และยกระดับเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกชั้นนำ ที่สามารถปั้นแบรนด์ย่อยที่หลากหลาย เพื่อเข้าไปจับตลาดที่แตกต่างกัน
อย่างเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2020 “MINISO” เปิดตัวค้าปลีก Sub-brand ชื่อ “TOP TOY” เป็นร้านขายของเล่น เพื่อเจาะตลาดเด็ก คนรุ่นใหม่ และเหล่านักสะสม วางยุทธศาสตร์บุกตลาดจีนก่อน เปิดสาขาแรกที่เมืองกวางโจว และภายในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา เปิดไปแล้ว 25 สาขา
โดยสินค้าที่จำหน่ายใน TOP TOY ปัจจุบันมีกว่า 2,000 รายการ ที่มีตั้งแต่ราคา 9 ดอลลาร์สหรัฐ ไปจนถึงหลักพันดอลลาร์สหรัฐ ในจำนวนนี้ 70% เป็นสินค้าลิขสิทธิ์ และอีก 30% ทางกลุ่ม MINISO ผลิตเอง หรือสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์แบรนด์ต่างๆ มากกว่า 200 แบรนด์
เหตุผลที่ “MINISO” แตกแบรนด์ร้านค้าปลีกของเล่น เพราะเล็งเห็นว่าตลาดของเล่นในจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลจาก Bloomberg Intelligence รายงานว่า ปัจจุบันตลาดของเล่นในจีนเติบโตเร็วที่สุดในโลก และคาดการณ์ว่าภายในปี 20222 ตลาดของเล่นในจีน จะกลายเป็นตลาดใหญ่สุดในโลก ด้วยมูลค่ามากกว่า 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จึงไม่แปลกที่ทำไมหนึ่งในแบรนด์ของเล่นรายใหญ่ระดับโลกอย่าง “LEGO” จึงวางแผนเปิดร้านใหม่ในจีน รองรับการเฟื่องฟูของตลาดของเล่น
ขณะที่แผนขยายสาขาใหม่ในปี 2021 สำหรับตลาดจีน เตรียมเปิด 100 สาขา พร้อมทั้งติดตั้งเครื่องจำหน่ายของเล่นอัตโนมัติ (Vending Machine) 1,000 เครื่อง และในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เตรียมเปิดร้าน “TOP TOY” นอกประเทศจีน โดยตามแผนสาขาต่างประเทศแห่งแรกคือที่สิงคโปร์ เนื่องจาก MINISO เห็นความต้องการมหาศาล และโอกาสธุรกิจตลาดของเล่น
โดยเป้าหมายใหญ่ของเชนร้าน TOP TOY คือ เป็นผู้นำตลาดร้านขายของเล่น-ของสะสม
2. ลุยออนไลน์ และพัฒนาโมเดล “O2O”
ภายใต้แผน “X Strategy” นอกจากสร้าง Brand Portfolio ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบ Physical Store แล้ว ในอีกด้านหนึ่งที่ MINISO ดำเนินการควบคู่กันคือ การรุกสร้างช่องทางออนไลน์ให้แข็งแกร่ง ทั้งภายใต้เชน MINISO และเชน TOP TOY
โดยช่องทางออนไลน์ครอบคลุมทั้ง Online Store ของตัวเอง รวมถึงการเปิดร้านบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และแพลตฟอร์ม Social Media รายใหญ่ของจีน เช่น Tmall, JD, Douyin, WeChat mini-programs ขณะเดียวกันรุกสร้างช่องทางอีคอมเมิร์ซ MINISO ในตลาดต่างประเทศ
ในไตรมาส 3/2021 MINISO มีรายได้จากช่องทางอีคอมเมิร์ซ 26.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 86% หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ 7.7% ของรายได้รวมบริษัท ในขณะที่รายได้จากโมเดล O2O (online to offline) 10.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 3.1% ของรายได้รวม
Robin Liu ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด และหัวหน้าฝ่ายอีคอมเมิร์ซ บริษัท MINISO กล่าวว่า ธุรกิจออนไลน์ได้เร่งตัวขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด COVID-19 และจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของการพัฒนา MINISO ซึ่งการเติบโตของช่องทางนี้ สะท้อนถึงความพยายามในการพัฒนาโมเดลการตลาด Omni-channel
“นอกจากสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่แล้ว MINISO ยังได้เพิ่มช่องทางดิจิทัลอื่น เช่น ใช้แอปฯ Social Media สื่อสารกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด พัฒนาระบบสมาชิกขั้นสูง ติดตั้งเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ และ Live Streaming ขายสินค้าทั้งในจีน และนอกประเทศจีน”
3. จีนฟื้นตัวเร็วจาก COVID-19 และขยายฐานธุรกิจด้วยแนวคิด “Think Smaller” เปิดสาขาในประเทศขนาดเล็ก – ตลาดเกิดใหม่
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ MINISO ยังเติบโต คือ ประเทศจีนสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบสถานการณ์ COVID-19 ได้เร็ว ทำให้เศรษฐกิจของประเทศ และธุรกิจกลับมาได้เร็ว
ขณะเดียวกัน จากเดิม MINISO ขยายไปยังเมืองใหญ่ในจีน และประเทศที่เป็นตลาดหลักก่อน แต่แผนจากนี้จะเปิดสาขาในเมืองขนาดเล็กลงของจีน และไปยังตลาดเกิดใหม่ในต่างประเทศ
โดยสาขาใหม่ของ MINISO ในจีน เกือบ 70% เปิดในเมือง Tier 3 และ Tier 4 ของประเทศ เช่นเดียวกับตลาดนอกจีน ให้ความสนใจประเทศขนาดเล็ก และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ด้วยแนวคิด “Think Smaller” โดยเพิ่งเปิดสาขาในไอซ์แลนด์ มอลตา นิวแคลิโดเนีย หมู่เกาะคานารี และตลาดเกิดใหม่ เช่น เวียดนาม และ ลาว
เพื่อทำให้ MINISO เป็นเชนค้าปลีกที่มีสาขาครอบคลุมทั้งเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยุโรป สหรัฐอเมริกา และเม็กซิโก
“เราพยายามสร้างฐานตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่พัฒนาตลาดใหม่ และตลาดในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับธุรกิจให้เข้ากับตลาดท้องถิ่นนั้นๆ ด้วยเช่นกัน” Vincent Huang รองประธานฝ่ายธุรกิจระหว่างประเทศ MINISO กล่าวถึงการขยายฐานธุรกิจ
จากการเดินทางขยายสาขารูปแบบ Physical Store ทั้งในจีน และนอกประเทศจีน ภายใต้เชนค้าปลีก MINISO เชนร้านค้าปลีก TOP TOY หรือในอนาคตอาจปลุกปั้นมีแบรนด์ร้านค้าปลีกขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้าง Ecosystem ค้าปลีกเจาะตลาดต่างๆ ที่มีโอกาสธุรกิจ ควบคู่ไปกับการรุกช่องทางอีคอมเมิร์ซ และพัฒนาโมเดล O2O
เพื่อไปสู่เป้าหมายใหญ่ คือ การยกระดับเป็นผู้นำแพลตฟอร์ม “New Retail” ในระดับโลก