ปี 2564 หลายธุรกิจยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคอย่างหนัก แต่ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคของ “โอสถสภา” ยังโชว์ยอดขายและกำไร ด้วยสถิติ “นิวไฮ” นำทัพโดยกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังและฟังก์ชันนอลดริงก์
หากดูผลดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ “โอสถสภา” ทำรายได้รวมจากการขาย 6,776 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาดูกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ “โอสถสภา” ยังคงวางเป้าหมายเติบโตได้ 10% ในปีนี้
กลุ่มเครื่องดื่มโตได้เหนือตลาด
– เริ่มจากเครื่องดื่มชูกำลัง ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ได้ ด้วยส่วนแบ่งตลาด 54.9% โดยมีแบรนด์ M-150 เป็นเบอร์ 1 ขณะที่ไตรมาสแรกปีนี้ ตลาดรวมเครื่องดื่มชูกำลัง มูลค่า 20,000 ล้านบาท -6.5% เทียบปีก่อน
– ตลาดรวมฟังก์ชันนอลดริงก์ มูลค่า 9,000 ล้านบาท -11.8% เทียบปีก่อน ส่วนแบรนด์ C-Vitt ยังเป็นเบอร์ 1 ครองส่วนแบ่งการตลาด 34.9% ทำให้กลุ่มนี้โอสถสภายังเติบโต 16.1% เทียบปีก่อน
– แบรนด์ “โสมอินซัม” สินค้าใหม่ที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ก็สร้างการเติบโตได้ดีเช่นกัน
– สรุปไตรมาสแรกปี 2564 โอสถสภามีรายได้จากกลุ่มเครื่องดื่ม 5,801 ล้านบาท เติบโต 3.1% ถือว่าเติบโตท่ามกลางโควิดระลอกใหม่ กลุ่มที่เติบโตสูงคือ C-Vitt จากการขยายช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศในกลุ่มเทรดดิชันนอล
กลยุทธ์ฝ่าโควิด เสริมทัพเครื่องดื่มเจาะ “ผู้หญิง”
กลยุทธ์สร้างการเติบโตในตลาดเครื่องดื่มของโอสถสภา ในปี 2564 ที่ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิดระลอก 3 มีหลากหลายรูปแบบ
กลุ่มเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เป็นการต่อยอดจุดแข็ง Multi-brand portfolio เจาะลูกค้าหลากหลายกลุ่ม ช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแรง และสินค้าเซ็กเมนต์ใหม่
– ไตรมาสแรกปีนี้แบรนด์ M-150 ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ M-150 ZA เป็นกลุ่ม Carbonated Energy Drink สูตรน้ำตาลน้อย เสริมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และซิงค์ เจาะกลุ่มที่ต้องการเครื่องดื่มสร้างความสดชื่น มาในรูปแบบกระป๋องละ 15 บาท
– อีก Strategic Move สำคัญในไตรมาส 2 จากปกติภาพลักษณ์เครื่องดื่มบำรุงกำลังเป็นเครื่องดื่มสำหรับผู้ชาย แต่โอสถสภา เห็นโอกาสขยายกลุ่มเป้าหมายผู้หญิง ด้วยการเปิดตัว “ลิโพ-ไฟน์” (Lipo- Fine) เป็นครั้งแรกกับการวางตำแหน่งเครื่องดื่มบำรุงกำลังสำหรับผู้หญิง
นอกจากนี้ยังเป็นตัวเลือกสุขภาพ Healthier Choice น้ำตาล 0% ตัวแรกในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง มีส่วนผสมของทอรีน 1,000 มิลลิกรัม รสมิกซ์เบอร์รี่ ให้พลังงาน 15 กิโลแคลอรี่ ราคา 12 บาท
“ลิโพ-ไฟน์” นับเป็นปรากฏการณ์ในรอบ 22 ปีของแบรนด์ “ลิโพ” ต่อจากการเปิดตัว “ลิโพ-พลัส” เครื่องดื่มบำรุงกำลังผสมน้ำผึ้งธรรมชาติ กับการแจ้งเกิดเซ็กเมนท์ใหม่ให้กับตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ในประเทศไทย ให้เติบโตขึ้นอีกด้วย
กลุ่มฟังก์ชันนอลดริงค์ แบรนด์ C-vitt เครื่องดื่มผสมวิตามินซีเบอร์ 1 ในตลาด ปีนี้รุกหนักทั้งช่องทางจำหน่ายและสินค้าใหม่
– เริ่มจากขยายพื้นที่จัดจำหน่ายใน Traditional Trade และเข้าตลาดใหม่ in-home consumption จากการสถานการณ์โควิดทำให้หลายคนต้องอยู่บ้าน Work From Home จึงพัฒนาโปรดักส์ขนาดใหม่ C-vitt Big Pack 1 ลิตร เพื่อบริโภคในบ้านและสร้างโอกาสการดื่มรูปแบบใหม่ อย่างการนำไปผสมในเครื่องดื่มต่าง ๆ เช่น กาแฟ เพิ่มโอกาสในการดื่มทั้งในมื้ออาหาร และโอกาสต่างๆ ขนาด 1 ลิตรยังตอบโจทย์เรื่องราคาคุ้มค่าในช่วงโควิดที่คนระมัดระวังจับจ่าย เพราะด้วยปริมาณแล้วประหยัด 20-30% เมื่อเทียบกับแบบขวด
– ไตรมาสสองนี้ C-vitt ได้ส่งนวัตกรรมใหม่เจาะกลุ่มพรีเมียมกับ C-vitt Plus วิตามินซี+ คอลลาเจน และ วิตามินซี+ ไฟเบอร์ กลุ่มนี้เข้ามาตอบโจทย์ “บิวตี้ เทรนด์” และการดูแลสุขภาพ
ต่อยอดแบรนด์ “เบบี้มายด์-โบตัน” แตกไลน์ยาสีฟัน
สำหรับกลุ่มสินค้าของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care) ภาพรวมไตรมาสแรก ปีนี้ตลาดสบู่เหลวสำหรับเด็ก มูลค่า 1,300 ล้านบาท -12.2% เช่นเดียวกับตลาดแป้งเด็กมูลค่า 2,100 ล้านบาท -13% โดยรวมตลาด Personal Care ในไทยลดลงราว 22.3% ช่วงไตรมาสแรกปีนี้จากสถานการณ์โควิด
โอสถสภา มีรายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลไตรมาสแรกอยู่ที่ 500 ล้านบาท ลดลง 18.9% จากสถานการณ์โควิดทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยและความงามมากขึ้น
กลยุทธ์ไตรมาสสองในกลุ่ม Personal Care ได้ต่อยอด 2 แบรนด์ที่ผู้บริโภครู้จักดี คือ “เบบี้มายด์” และ “โบตัน” แตกไลน์สินค้าใหม่ยาสีฟัน
“เบบี้มายด์” เป็นยาสีฟัน ออร์แกนิค สำหรับเด็ก ขายผ่านออนไลน์ มาร์เก็ตเพลส
“โบตัน” แบรนด์ที่อยู่ในตลาดมานาน อายุกว่า 80 ปี เข้าสู่ตลาดยาสีฟัน กลุ่มสมุนไพร “โบตันเฮอร์เบิลเฟรช” ช่วงแรกทดลองตลาด จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้รับการตอบรับดี
จับมือพันธมิตรปั้นโปรเจกต์ Collaboration
อีกกลยุทธ์สำคัญที่โอสถสภา นำมาใช้ในปีนี้ คือการทำงานร่วมกับ “พาร์ทเนอร์” ใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาทำโปรเจกต์ Collaboration สร้างความแปลกใหม่ให้ตลาดและขยายธุรกิจร่วมกัน
– Kerry Express จากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนในยุคโควิด ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น ทำให้การบริโภคสินค้าในบ้านเติบโต โอสถสภาและเคอรี่ จึงจับมือเป็นพันธมิตรกัน โดยใช้ศักยภาพด้านเครือข่ายจุดบริการและจัดส่งสินค้าของเคอรี่ เป็นจุดจำหน่ายแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังเบอร์ 1 M-150 และเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล C-Vitt ของโอสภสภา ผ่านเครือข่ายของเคอรี่ ทั้งรถส่งพัสดุ 25,000 คัน ช็อปบริการ 15,000 แห่ง และศูนย์กระจายสินค้า 1,200 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เรียกว่าเป็นอีกเป็นโมเดล Direct to Consumer (D2C) ที่ win win ทั้ง 2 ฝ่าย โดยเริ่มจากพื้นที่กรุงเทพฯ
– SCG เป็นความร่วมมือ Collaboration ทางการตลาด เพื่อส่งเสริมการขายปูนตราเสือ โดยร่วมกันออกแคมเปญ “ฮึดสู้อย่างเสือ หัวใจเกินร้อย” เจาะกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา ด้วยเครื่องดื่ม M-150 กระชายดำผสมน้ำผึ้ง X ปูนตราเสือ รุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น พร้อมของพรีเมียมที่ออกแบบเป็นพิเศษ รวมถึงการผูกแคมเปญเข้ากับแพลทฟอร์ม “แต้มเอ็ม” ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารการตลาดเพื่อสร้างความผูกพันและ Brand Loyalty กับผู้บริโภค การร่วมมือทางธุรกิจดังกล่าว เป็นการนำจุดแข็งของโอสถสภาและเอสซีจี มาสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน ถือเป็นการสร้างการรับรู้ตราสินค้า (Brand Visibility) และต่อยอดขยายฐานผู้บริโภคให้กว้างขึ้นผ่านช่องทางใหม่
– ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ ในเดือนพฤษภาคม 2564 บริษัท ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ จำกัด แต่งตั้งบริษัท โอสถสภา เบฟเวอเรจ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ (กลุ่มวิตามินบี) เพื่อร่วมขยายตลาดและช่องทางจำหน่ายเครื่องดื่มวิตามิน วอเตอร์ ปัจจุบันตลาดรวมมีมูลค่า 2,500-3,000 ล้านบาท เติบโตเท่าตัว การเป็นผู้จัดจำหน่าย ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ เป็นการช่วยเสริมพอร์ตโฟลิโอสินค้าขวด PET ให้กับโอสถสภา ที่สินค้าหลักเป็นขวดแก้ว
นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือทางธุรกิจกับโรงพยาบาลยันฮี ซึ่งได้มีการลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมสารสกัดกัญชง (CBD) เพื่อออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการใหม่ของผู้บริโภค รวมถึงขยายไปสู่ตลาดที่มีศักยภาพเติบโต
โอสถสภา มีความสนใจเรื่องกัญชง โดยทำวิจัยผู้บริโภคตั้งแต่ปี 2562 มีโปรเจกต์ทั้ง Personal Care รวมทั้งเครื่องดื่ม หาก อย.ให้ใบอนุญาตสินค้าเมื่อไหร่ ก็พร้อมเดินหน้าทันที เรียกว่าเป็นตลาดที่น่าตื่นเต้นและถือเป็น Big Move สำคัญของโอสถสภาหลังจากนี้