วันนี้ (16 สิงหาคม) ศบค.ชุดใหญ่ประชุมประเมินผลมาตรการล็อกดาวน์พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ที่ครบกำหนด 14 วัน (นับตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2564)
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. สรุปมาตรการระยะต่อไปในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดดังนี้
– ขยายมาตรการล็อกดาวน์ทุกพื้นที่ ต่อไปอีก 14 วัน ตั้งแต่วันที่ 18-31 สิงหาคม 2564
– ปรับมาตรการจำหน่ายสินค้าจำเป็นและกิจการจำเป็นในห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ให้เปิดเพิ่มเติม คือ “ธนาคารและสถาบันการเงิน” เพียงกิจการเดียว ส่วนกิจการอื่นๆ ที่สมาคมศูนย์การค้าเสนอมา เช่น ร้านมือถือ ร้านเบ็ดเตล็ด ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ศบค.เห็นว่าสามารถซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ได้
– เพิ่มมาตรการให้องค์กรรัฐและเอกชน Work From Home ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มที่ต้องมาทำงาน ให้มีการคัดกรองด้วย ATK ทุกสัปดาห์ เพื่อให้มีความพร้อมคลายล็อกดาวน์
– เตรียม Company Isolation สำหรับหน่วยงานที่มีพนักงานเกิน 50 คน และเตรียมความพร้อมของบุคลากรในการคัดกรองด้วย ATK
– โรงงาน สถานประกอบการที่มีพนักงานเกิน 100 คน ให้ทำ Bubble and Seal เต็มรูปแบบ
– ตลาด และค้าส่งขนาดใหญ่ ให้คัดกรอง ATK ผู้ค้า แรงงาน ทุกสัปดาห์ และสุ่มตรวจผู้มาใช้บริการเป็นระยะ
– หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำแนวทางการดำเนินงาน Thai Covid Pass ให้เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดประเทศ
รัฐสนับสนุน ประชาชน องค์กร และสถานประกอบการ สามารถตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยตัวเองได้ เช่น จำหน่ายราคาถูก จัดหาได้ง่าย
มาตการลดการเสียชีวิต ให้เร่งรัดการฉีดวัคซีน ให้ครอบคลุมกลุ่มเสี่ยงทั้งหมด อย่างน้อย 80% ในกรุงเทพฯ อย่างน้อย 70% ใน 12 จังหวัด และอย่างน้อย 50% ในพื้นที่อื่นๆ
เห็นชอบแลกเปลี่ยนความร่วมมือระหว่างประเทศ
1. ไทยจะแลกวัคซีน AstraZeneca กับภูฏาน ประมาณ 130,000-150,000 โดส (ผลิตจากสวีเดน) โดยไทยจะส่งคืนในภายหลัง โดยกองทัพอากาศไทยจะเป็นผู้ไปรับวัคซีนมา
2. เยอรมนี จะให้ยาค็อกเทล Monoclonal Antibody จากบริษัท Regeneron จำนวนประมาณ 1,000-2,000 ชุด (มูลค่าชุดละประมาณ 4 หมื่นบาท) ซึ่งยาชุดนี้สามารถลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ถึง 50-70%