จากจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 90% ของทั้งระบบ ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กเป็นฟันเฟืองที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่ปัญหาสำคัญของ SMEs จำนวนมากคือ ขาดไอเดียในการพัฒนาสินค้าให้แตกต่างและช่องทางการจัดจำหน่ายที่เข้าถึงลูกค้า จึงทำให้ SMEs จำนวนมากพลาดโอกาสแจ้งเกิด
โดยช่องทางขายที่ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ต้องการ หนึ่งในนั้นคงหนีไม่พ้น “เซเว่น อีเลฟเว่น” (7-Eleven) เพราะด้วยจำนวนสาขาที่มีกว่า 12,500 สาขาทั่วประเทศ และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ย 1,200 คนต่อวันต่อสาขา จึงช่วยให้สินค้าเป็นที่รู้จักง่ายขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีสินค้า SMEs เข้ามาวางขายในเซเว่นฯ จำนวนไม่น้อย และหลายรายสามารถสร้างยอดขายเติบโตอย่างรวดเร็ว มาเรียนรู้ความสำเร็จของผู้ประกอบการรุ่นใหม่อย่างเครื่องดื่มสุขภาพ “Double C” และขนมไทย “บ้านทองหยอด” กันว่าพวกเขามีวิธีการอย่างไร ถึงทำให้สินค้ามียอดขายเติบโตแบบปังๆ ในเซเว่น อีเลฟเว่น
Double C : มองหาโอกาสจากต้นทุนเดิม สู่แบรนด์เครื่องดื่มสุขภาพ ที่เติบโตกว่า 300 %
เครื่องดื่มประเภทไม่มีแอลกอฮอล์ (Non Alcoholic Beverage) แบบพร้อมดื่ม เป็นตลาดที่แข่งขันสูง เนื่องจากตลาดเติบโตสูง จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ตลาดมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 0.5-1.5% จึงทำให้มีแบรนด์เครื่องดื่มประเภทนี้ วางขายจนเต็มเชลฟ์ แต่ Double C เป็นหนึ่งในสินค้ายอดฮิตใน เซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของ คุณชนินทร์ และ คุณสรวิศ เฮ้งเจริญสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท หนองคายเพาเวอร์ดริ๊งก์ จำกัด
จุดเริ่มต้นของ Double C คุณชนินทร์ เล่าว่า เดิมทีทำธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง แต่ด้วยสภาพการแข่งขันที่สูง ทำให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จึงมองหาธุรกิจใหม่ โดยใช้ต้นทุนเดิมที่มีคือ เครื่องจักร และพบว่าตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมีการเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งคู่แข่งยังไม่มาก จึงเดินหน้าผลิตเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ “Double C” จากนั้นก็นำแนวคิดไปเสนอเซเว่น อีเลฟเว่น กระทั่งได้รับโอกาส
“เงินทุนที่ใช้ตอนนั้นเป็นเงินทุนหมุนเวียน ทุกอย่างต้องเป็นเงินสด เพราะเรายังมีหนี้อยู่ค่อนข้างมาก แบงก์ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ ทำให้เราต้องรู้จักบริหารเงินทุนหมุนเวียน ควบคู่กับการสร้างวินัยที่ดีด้านการเงินกับสถาบันการเงิน ขณะที่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 เซเว่น อีเลฟเว่นก็ช่วยร่นระยะเวลาเครดิตให้จากเดิม 90 วัน เป็น 45 วัน ช่วยให้ธุรกิจมีสภาพคล่องมากขึ้น”
คุณสรวิศ เสริมว่า เมื่อทุกอย่างเข้าที่ Double C ก็เปิดตัวในช่วงปลายปี 2561 ภายใต้สโลแกน เครื่องดื่มวิตามินซี 200% ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ทำให้ในปี 2562 บริษัทมีอัตราการเติบโตกว่า 300 % และเติบโตอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่ทำให้ Double C ยืนหยัดในตลาดที่มีแข่งขันสูง เพราะรสชาติที่ถูกปาก ให้คุณประโยชน์ที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ในราคาเข้าถึงได้ง่ายเพียงขวดละ 15 บาท
“แม้ว่าสินค้าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แต่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องและต้องทำให้ไว เพราะตลาดนี้มีผู้สนใจจำนวนมาก หากช้าหรือหยุดพัฒนา จากผู้นำก็จะกลายเป็นผู้ตามในทันที ล่าสุดจึงร่วมกับบริษัท เฟอร์โร เพอร์ฟอร์แมนซ์ แมททีเรียลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตสารเคลือบผิวสำหรับอุตสาหกรรม นำสารเคลือบผิวมาใช้ในการผลิตขวดใส ผ่านทาง บริษัท เวลโกรว์ กล๊าส อินด์ดัสทรี จำกัด (WGI) บริษัทโรงงานผลิตขวดชั้นนำของประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าเครื่องดื่ม Double C จะให้วิตามินซีครบ 200% ด้วยนวัตกรรมขวดใสป้องกันแสง เจ้าแรก และเจ้าเดียวในประเทศไทย พร้อมขยายตลาดสู่กลุ่มประเทศ CLMV ในปีหน้า”
ขนมไทยบ้านทองหยอด : จากขนมหวานในตลาด พัฒนาไม่หยุดจนขึ้นเชลฟ์ขายไปทั่วประเทศ
ธุรกิจขนมไทย “บ้านทองหยอด” อีกหนึ่งสินค้ายอดฮิตโดนใจผู้บริโภค ที่วันนี้แม้จะถูกส่งไม้ต่อให้ทายาทรุ่นที่ 3 แต่คุณภาพและรสชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดย คุณภาณุวัฒก์ เงินศรีสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีทีวาย ฟู้ด จำกัด เจเนอเรชันที่ 3 ของผลิตภัณฑ์ขนมไทย “บ้านทองหยอด” บอกว่า แม้จะเห็นธุรกิจนี้มาตั้งแต่เกิด แต่เมื่อต้องเข้ามาบริหารงานต่อก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกอย่างมีความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค แต่สิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในธุรกิจขนมก็คือ “รสชาติ”
“จุดแข็งของขนมไทยบ้านทองหยอด คือ รสชาติกลมกล่อม หอมอร่อย วัตถุดิบผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี ให้ความสำคัญและใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต และถูกหลักอนามัย ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใด จุดแข็งเหล่านี้ยังคงอยู่ ทำให้ผลิตภัณฑ์ยังคงได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมาตลอด”
ขณะเดียวกัน ยังต้องพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมขยายช่องทางการตลาดเพิ่มเติม จากตอนแรกทำเฉพาะขนมทองหยอดและขนมทองหยิบจำหน่ายในตลาดสดเพียงช่องทางเดียว ก็พัฒนามาทำฝอยทองและเม็ดขนุน เนื่องจากเห็นโอกาสในการนำไปประยุกต์ในตลาดเบเกอรี่ได้ ทั้งยังเห็นโอกาสในการขยายตลาดโมเดิร์นเทรด ในปี 2560 จึงเข้ามานำเสนอสินค้ากับทางซีพี ออลล์ และได้รับโอกาสนำขนมไทยบรรจุกล่องมาวางจำหน่าย ที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นในพื้นที่ภาคใต้เป็นครั้งแรก โดยภายในกล่องประกอบด้วยขนม 3 ชนิด ได้แก่ ทองหยอด ฝอยทอง และเม็ดขนุน จนได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค กระทั่งปัจจุบันสินค้าดังกล่าวจำหน่ายที่ร้านเซเว่น อีเลฟเว่นทั่วประเทศ
“แม้ว่ารสชาติขนมจะได้มาตรฐาน รสชาติคงที่ แต่เราไม่อาจหยุดการพัฒนาโดยเฉพาะเรื่องตลาด การพัฒนาสินค้า และแพ็กเก็จจิ้ง โดยทีมงานของเซเว่น อีเลฟเว่น ได้ให้คำแนะนำและให้ความรู้ส่วนนี้อย่างต่อเนื่อง จนล่าสุดได้ออกผลิตภัณฑ์ฝอยทองรังนก และได้รับการตอบรับดีเป็นอย่างดี”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเคล็ดลับจาก 2 ผู้บริหาร NEW GEN ที่ไม่หยุดคิดและพัฒนา ทั้งยังขยับตัวเร็ว จนสามารถแจ้งเกิดแบรนด์ SMEs เล็กๆ ให้เติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางสินค้ามากมายที่อยู่ในตลาด