เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันญี่ปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในขณะที่อัตราการเกิดลดลง ส่งผลให้ญี่ปุ่นกำลังเจอกับปัญหาขาดแคลนแรงงาน ทำให้ทุกวันนี้หลายองค์กรเอกชนนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ และให้บริการลูกค้ามากขึ้น อย่าง “เทคโนโลยีอัตโนมัติ” กลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก
ล่าสุดหนึ่งในเชนร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ของญี่ปุ่น “FamilyMart” (แฟมิลี่มาร์ท) มีแผนเปิดร้านค้าไร้พนักงาน (Unmanned Store) เต็มรูปแบบ จำนวน 1,000 สาขา ภายในปี 2024 โดยเทคโนโลยีภายในร้าน ประกอบด้วย
– ติดตั้งกล้องบนเพดาน และเซนเซอร์บนชั้นวางสินค้า ทำหน้าที่ตรวจสอบ และจดจำรายการสินค้าที่ลูกค้าหยิบออกจากเชล์ฟ
– ระบบชำระเงิน รองรับทั้ง e-Payment และเงินสด เพื่อความสะดวกของลูกค้า
– ลดขั้นตอนความยุ่งยากในการอ่านบาร์โค้ดสินค้าตรงเคาน์เตอร์ชำระเงิน และทำให้การขโมยของในร้าน ทำได้ยากขึ้น
– เมื่อลูกค้ายืนอยู่ตรงจุดชำระเงิน มีหน้าจอแสดงชื่อสินค้า และราคาแสดงขึ้นมาบนหน้าจอ จากนั้นให้ลูกค้าชำระเงิน โดยเลือกได้ว่าจะชำระเงินดิจิทัล และหรือเงินสด
– ในกรณีเป็นสินค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสินค้าที่จำกัดอายุผู้ซื้อ ลูกค้าต้องถูกตรวจสอบอายุผ่านหน้าจอตรงจุดชำระเงิน
นอกจากนี้ FamilyMart ยังคำนึงถึงความปลอดภัยในข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะไม่เก็บข้อมูลส่วนบุคคล ที่อาจนำไปสู่การระบุตัวตนได้
– ไม่ใช้เทคโนโลยีตรวจจับใบหน้า (Facial Recognition)
– ไม่มีการใช้เทคโนโลยี Biometrics ที่ต้องระบุตัวตน และตรวจพิสูจน์ผู้ใช้งานก่อน
– ลูกค้าไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันใดๆ เพื่อเข้ามาใช้บริการภายในร้าน
ผู้บริหาร FamilyMart กล่าวว่า สินค้าที่วางจำหน่ายในร้านค้าไร้พนักงานดังกล่าวนี้ จะมีประมาณ 3,000 รายการ ซึ่งมีรายการสินค้าเพิ่มมากขึ้น หลังจากในช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บริษัททดลองเปิดร้านค้าไร้พนักงานในโตเกียว ขนาดพื้นที่ 50 ตารางเมตร โดยในร้านทดลอง ติดตั้งกล้อง 50 ตัว และมีสินค้า 750 รายการ ขณะที่อายุของลูกค้าที่ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับการตรวจสอบผ่านหน้าจอตรงจุดชำระเงิน
หลังจากเปิดร้านทดลอง และทดสอบระบบการทำงานแล้วว่าไม่มีปัญหาในการให้บริการลูกค้าพร้อมกัน 10 คน ทาง FamilyMart จึงตัดสินใจขยายร้านค้าไร้พนักงานให้มีขนาดใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตามการเปิดร้านสะดวกซื้อไร้พนักงาน ที่การให้บริการทุกอย่างใช้ระบบอัตโนมัติทั้งหมด ต้องมีการลงทุนที่สูงกว่าร้านค้าทั่วไป 20% แต่ขณะเดียวกันช่วยลดต้นทุนค่าแรงพนักงานได้มาก เนื่องจากในร้านที่ใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะลักษณะนี้ จะใช้พนักงานในส่วนการรับสินค้าเข้าร้าน และสต็อคสินค้าเท่านั้น
ทั้งนี้ ปัจจุบัน FamilyMart มีจำนวนสาขา 16,000 สาขาในญี่ปุ่น โดยจะเปิดสาขาใหม่ โดยเฉลี่ย 200 – 500 สาขาต่อปี ซึ่งสาขาใหม่นับจากนี้ จะเน้นเปิดร้านสะดวกซื้อแบบไม่มีพนักงาน
เชนค้าปลีกใหญ่ “7-Eleven – Lawson” เปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติมากขึ้น เพื่อลดการใช้พนักงาน
ปัจจุบันจำนวนร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่นทั้งหมดรวมกัน มีมากกว่า 50,000 สาขาทั่วประเทศ แต่แนวโน้มการเปิดสาขาใหม่ลดลงครั้งแรกในปี 2019 เพราะฉะนั้นการจะขยายสาขามากขึ้น จำเป็นต้องมีโมเดลร้านค้ารูปแบบใหม่ ขณะเดียวกันต้องมีการบริหารจัดการที่ดี มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ และการขาดแคลนแรงงาน โดยข้อมูลจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (Japan Fair Trade Commission) พบว่า ต้นทุนค่าแรงคิดเป็น 60% ของต้นทุนการบริหารจัดการธุรกิจแฟรนไชส์
ดังนั้น นอกจากเชน FamilyMart ที่ประกาศยุทธศาสตร์ขยายสาขามุ่งไปในทิศทางพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้นแล้ว อีก 2 เชนค้าปลีกใหญ่ในญี่ปุ่นทั้ง “7-Eleven” (เซเว่น อีเลฟเว่น) และ “Lawson” (ลอว์สัน) ก็ทรานส์ฟอร์มธุรกิจ มาใช้เทคโนโลยีให้บริการลูกค้ามากขึ้น
อย่าง “7-Eleven” ประเทศญี่ปุ่น จับมือกับบริษัท NEC ผู้ให้บริการเทคโนโลยี ทดลองเปิดร้านค้าอัตโนมัติ ที่ใช้เทคโนโลยี Facial Recognition ในการชำระเงิน ขณะที่ “Lawson” ได้นำเทคโนโลยีที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถอ่านบาร์โค้ดสินค้า ผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเองได้
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand