ต้องบอกว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทำให้ตลาดนาโนไฟแนนซ์ไทยมูลค่า 200,000 ล้านบาทมีความท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการเปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากบริษัท มันนิกซ์ (MONIX) ฟินเทคสตาร์ทอัปร่วมทุนระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ และ Abakus Group ฟินเทคยูนิคอร์นจากประเทศจีนที่พบว่าสามารถสร้างตัวเลขสินเชื่อบนแอปพลิเคชัน Finnix ของทางค่ายได้ทะลุ 3,000 ล้านบาทภายในเวลา 14 เดือน
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากทางค่ายรีแบรนด์แอปพลิเคชันเงินกู้เพื่อผู้มีรายได้น้อย “ห้าให้มันนี่” สู่ชื่อใหม่ “Finnix” ไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยยอดสินเชื่อกว่า 3 พันล้านบาทที่แอปพลิเคชัน Finnix สร้างขึ้นนั้น พบว่ามาจากจำนวนผู้กู้ 2.5 แสนราย และตั้งเป้าสิ้นปีว่าจะมีผู้กู้เพิ่มเป็น 3 แสนคน (เพิ่มอีก 50,000 ราย) และมียอดสินเชื่อแตะ 5 พันล้านบาทได้อย่างแน่นอน
5 ปัจจัยในการเติบโตแอปกู้เงิน
สิ่งที่ผู้บริหาร Monix อย่างคุณถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสะท้อนเพิ่มเติมก็คือ Pain Point ของคนที่มีรายได้น้อยที่อยากกู้เงิน 5 ข้อ หรืออาจหมายถึง 5 ปัจจัยที่ทำให้แอปกู้เงินเติบโตได้นั่นคือ
- โอกาสได้รับอนุมัติน้อย
- รอผลอนุมัตินานเกินไป
- ต้องใช้เอกสารประกอบจำนวนมาก
- วิธีการสมัครยาก เช่น อาจต้องเดินทางไปธนาคารสาขา
- อัตราดอกเบี้ยสูง
ประกอบกับภาพรวมของประเทศไทยที่มีหนี้ครัวเรือนสูงมากถึง 90% ของ GDP ในไตรมาสแรกของปีนี้ ซึ่งสะท้อนว่าคนไทยกำลังขาดสภาพคล่องทางด้านการเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย หรือไม่มีเอกสารยืนยันบัญชีการเงินยิ่งไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการของธนาคารและสถาบันการเงินได้ ซึ่งปัจจุบัน ผู้บริหาร Monix เผยว่า ประเทศไทยมีคนกลุ่มนี้ประมาณ 36 ล้านคน (แบ่งเป็นผู้มีรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท 8 ล้านคน และไม่มีสลิปเงินเดือนให้สามารถขอกู้กับสถาบันการเงินทั่วไปได้อีก 28 ล้านคน)
ทั้งนี้ ทาง Monix มองว่า หากไม่มีแอปพลิเคชัน Nano Finance แบบถูกกฎหมายออกมารองรับ ก็มีโอกาสที่คนกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อของแอปกู้เงินผิดกฎหมาย หรือแก๊งหนี้นอกระบบได้โดยง่าย จึงมีการตั้งเป้าว่า ตัวแอปควรเข้าถึง และปล่อยสินเชื่อให้กับคนกลุ่มนี้ได้สัก 20% หรือคิดเป็นตัวเลข 7.2 ล้านคนในระยะเริ่มต้น เพื่อให้คนไทยได้เข้าถึงสินเชื่อที่ถูกกฎหมายได้มากยิ่งขึ้น
พบพฤติกรรมคนไทยคล้าย “อินโดนีเซีย – จีน”
ผู้บริหาร Monix ยังเผยข้อมูลเพิ่มเติมด้วยว่า สถานการณ์ในประเทศไทย มีความคล้ายคลึงกับประเทศอินโดนีเซีย – จีน ที่สัดส่วนประชากรในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมีพอ ๆ กัน รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายด้วย นั่นคือ
- ใช้เงินไม่มาก แต่ใช้บ่อย
- รายรับกับรายจ่ายอาจไม่พอดีกัน
- มีแนวโน้มจะเกิดการใช้จ่ายก้อนใหญ่มาเป็นระยะ ๆ
ด้วยเหตุนี้ ทางแอป Finnix จึงกำหนดวงเงินกู้จากพฤติกรรมดังกล่าว โดยมีวงเงินตั้งแต่ 2,000 – 100,000 บาท พร้อมให้เหตุผลว่า ผู้กู้บางคนต้องการเงินไปหมุนเท่านั้น การเริ่มต้นวงเงินขั้นต่ำแค่ 2,000 บาทจึงเหมาะกับการใช้งานนั่นเอง
พิจารณาสินเชื่ออย่างไร ไม่ต้องใช้เอกสารมาก จริงไหม?
ในจุดนี้ ทางคุณถิรนันท์กล่าวว่า ถ้าเป็นลูกค้าธนาคารไทยพาณิชย์ และมีแอปพลิเคชัน SCB Easy สามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวในการยืนยันตัวตนได้เลย (ต้องถ่ายภาพบัตรประชาชน และกรอกเลขหลังบัตรประชาชนลงในแอปพลิเคชันด้วย) แต่ถ้าไม่ใช่ ผู้กู้ต้องมี statement ย้อนหลังให้ทางแอปพิจารณา
ในส่วนของประเด็นด้านการจัดการความเสี่ยง คุณถิรนันท์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เน้นที่ Alternative data หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ข้อมูลทางการเงิน เช่น ข้อมูลโทรศัพท์มือถือ ที่ทางแอปขอเข้าถึงด้วยเช่นกัน
“สาเหตุที่เราทำ เพราะหลายคนที่เป็นลูกค้าของเราไม่ได้มีการเดินบัญชีกับแต่ละธนาคารบ่อยนัก หลายคนใช้ชีวิตด้วยเงินสด ตรงนี้คือปัญหา เราจึงต้องหาทางแก้ว่า ทำอย่างไรที่จะมีการวิเคราะห์วงเงินสินเชื่อผ่าน Alternative data อื่น ๆ ซึ่งข้อมูลรายชื่อในโทรศัพท์มือถือสามารถ Define คาแรคเตอร์ของเขาได้ มันจึงเป็นหนึ่งใน Alternative data ในการประมวลผล แต่เราไม่ได้เอาข้อมูลไปการันตี หรือเอาไปทำอันตรายใด ๆ แน่นอน” คุณถิรนันท์กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน รายได้เฉลี่ยของผู้กู้อยู่ที่ 7,000 – 12,000 บาทต่อเดือน ส่วนวงเงินที่อนุมัติ อยู่ระหว่าง 10,000 – 15,000 บาท เรทในการอนุมัติสินเชื่ออยู่ที่ 25% และหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ไม่เกิน 1 digit โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.75% ต่อเดือน
ความท้าทายแอปกู้เงินถูกกฎหมาย
สำหรับความท้าทายของธุรกิจนาโนไฟแนนซ์ อาจหมายถึงการขยายส่วนแบ่งจากมูลค่าตลาด 200,000 ล้านบาทนี้ให้เพิ่มขึ้น โดยคุณถิรนันท์บอกว่า ในจำนวนนี้เป็นผู้เล่นที่ถูกกฎหมายราว 70,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าในตลาดยังมีโอกาสอีกมาก อีกทั้งจุดแข็งของทางแอปที่เป็นแอปถูกกฎหมาย (ไม่มีพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม ประจานผู้กู้) จึงอาจเป็นหัวใจสำคัญในการเติบโต
“กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยมักมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อของสถาบันการเงินค่อนข้างจำกัด ทำให้ต้องหันไปพึ่งการกู้นอกระบบ แต่มันนิกซ์มีจุดแข็ง คือ การใช้เอไอ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (Machine Learning) ทำให้ประเมินความเสี่ยงของลูกค้าได้รวดเร็วแม่นยำ และเราเป็นแพลตฟอร์มสินเชื่อในรูปแบบออนไลน์ 100% จึงเข้าถึงคนไทยได้ทุกพื้นที่ แค่ลูกค้ามีสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สมัครสินเชื่อได้โดยไม่ต้องออกไปไหนให้เสี่ยง ซึ่งสอดรับเป็นอย่างดีกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เราจึงเชื่อว่าจะทำให้คนทำมาหากินเข้าถึงสินเชื่อที่ถูกกฎหมายได้มากยิ่งขึ้น” คุณถิรนันท์กล่าวปิดท้าย