ถึงวันนี้ครบ 3 ปีเต็มของแพลตฟอร์ม “JD Central” (เจดี เซ็นทรัล) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซร่วมทุนระหว่าง “JD.com” หนึ่งในยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซจากจีน กับ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” เข้ามาท้าชิง ท่ามกลางการแข่งขันของสมรภูมิอีคอมเมิร์ซดุเดือด ที่ห่ำหั่นกันทั้งโปรโมชั่น และราคา เพื่อแย่งชิงทั้งฐานลูกค้า และพาร์ทเนอร์ร้านค้า
มาดูสถิติ และกลยุทธ์ “JD Central” กันว่ามีอะไรน่าสนใจ ?!?
1. รีแบรนด์ ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคไทยมากขึ้น และ Brand Awareness เพิ่มขึ้น 48%
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา JD Central รีแบรนด์ ทั้งโลโก้ และ Tagline จากเดิม “ช้อปของดี การันตีของแท้” ปรับเป็น “จอยชัวร์ ตัวจริง” เพื่อสื่อสารถึงประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับจากการช้อป ได้มีความมั่นใจว่าได้ของแท้ และบริการที่ดี เนื่องจาก Consumer Insight หนึ่งของลูกค้าที่ซื้อสินค้าออนไลน์ กว่า 80% กลัวได้ของปลอม
– ตลอดระยะเวลา 3 ปีของการดำเนินธุรกิจในไทย นับตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน อัตราการเติบโตกว่า 955%
– รีแบรนด์ ทำให้ผู้บริโภคมีการรับรู้ (Brand Awareness) และเกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มสูงขึ้น 48%
– มากกว่า 300% ของผู้ซื้อใหม่ มาช้อปสินค้าแฟชั่น และสินค้าสุขภาพและความงาม
– มีนักช้อปผู้ชายหน้าใหม่เข้ามาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น 130% ซึ่งโดยปกติฐานลูกค้าหลักที่มาซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้หญิง แต่คาดว่ามาจากสถานการณ์ COVID-19 ที่ส่งผลให้คนใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น จึงทำให้ลูกค้าผู้ชาย ซื้อ FCMG เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
2. ขยายกลุ่มสินค้า FMCG – สุขภาพและความงาม เพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่
ตลอดระยะเวลา 3 ปี กลุ่มสินค้าขายดีบนแพลตฟอร์ม “JD Central” คือ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นประเภทสินค้าที่สามารถสร้างยอดขายเชิง Value แต่ขณะเดียวกัน JD Central ต้องการขยายฐานลูกค้ากลุ่มกว้าง และเพิ่มความถี่ในการมาช้อปบนแพลตฟอร์ม จึงได้ขยาย Category ไปยัง “กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค” (FMCG : Fast Moving Consumer Goods) และ “สินค้าสุขภาพและความงาม” (Health & Beauty) เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ตอบโจทย์ 3 ด้านหลักคือ
– สร้างฐานลูกค้าใหม่
– สินค้า FMCG และ Health & Beauty ช่วยเพิ่มความถี่ในการจับจ่าย
– เพื่อผลักดันแพลตฟอร์มเข้าไปอยู่ใน “ชีวิตประจำวัน” ของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง
เห็นได้สถิติจากการทำแคมเปญการตลาด “จับจ่าย FRIYAY” ลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค และสินค้าเกี่ยวกับบ้านและไลฟ์สไตล์ (Home & Living) ทุกวันศุกร์
– JD Central มีการเติบโตของฐานลูกค้าที่มาซื้อสินค้า FMCG มากกว่า 450%
– มีลูกค้าซื้อสินค้ากลุ่มขนมขบเคี้ยว และกลุ่มสินค้าเครื่องปรุงรสเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับสถานการณ์ COVID-19 นอกจากผู้บริโภคจะใช้บริการ Food Delivery แล้ว ขณะเดียวกันทำอาหารรับประทานเองมากขึ้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นกิจกรรมในเวลาที่อยู่บ้าน
– มันฝรั่งแบรนด์ MR.POTATO เป็นสินค้าแบรนด์น้องใหม่มาแรงบนแพลตฟอร์ม JD Central โดยพบพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าว่า จะซื้อมันฝรั่งนี้ คู่กับเครื่องดื่มโคล่า ซึ่งเป็น Insight สำคัญที่ JD Central มองว่าสามารถต่อยอดทำด้านกลยุทธ์การขายต่อไป
3. รักษาจุดแข็ง และฐานลูกค้าเดิมในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์
ในขณะที่เดินหน้าขยายฐานลูกค้าใหม่ JD Central ได้ทำแคมเปญ “Crazy Monday” เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าซึ่งเป็นกลุ่มที่ซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดราคาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าไอทีและ Gadget ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์การสร้างความสะดวก และความบันเทิง ตอบรับการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านในยุค New Normal ผลจากการทำแคมเปญดังกล่าว ทำให้ยอดซื้อสินค้ากลุ่มนี้ เพิ่มขึ้น
– จำนวนลูกค้าที่มาซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้น 35%
– ในไตรมาส 3 และคาดการณ์ไตรมาส 4 ของปี 2564 ยอดการซื้อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้น 27% สะท้อนได้ว่าผู้บริโภคยินดีจ่าย หรือลงทุนกับสินค้ากลุ่มนี้มากขึ้น โดยเฉพาะเวลามีแบรนด์ หรือแพลตฟอร์มนำเสนอส่วนลด เช่น คูปองลด 10%
4. “มือถือ – แท็บเล็ต” สร้างยอดขายเชิงมูลค่า – “สินค้าอุปโภคบริโภค” สร้างยอดออเดอร์อันดับ 1
การเติบโตของสินค้าบนแพลตฟอร์ม JD Central แบ่งเป็น
Top Category เชิงยอดขาย
อันดับ 1 : โทรศัพท์มือถือ – แท็บเล็ต และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (เติบโตถึง 130%)
อันดับ 2 : สินค้าอุปโภคบริโภค
อันดับ 3 : สินค้าแม่และเด็ก
Top Category ยอดออเดอร์ / จำนวนผู้ใช้งาน
อันดับ 1 : สินค้าอุปโภคบริโภค
อันดับ 2 : โทรศัพท์มือถือ – แท็บเล็ต
อันดับ 3 : เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน
อันดับ 4 : สินค้าสุขภาพและความงาม
ขณะที่ยอดการใช้จ่ายต่อครั้งบนแพลตฟอร์ม JD Central โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,700 บาท
5. กลยุทธ์ Q4 ลุยบริการ “On-demand Delivery” สั่งปุ๊ป รับสินค้าภายใน 30 นาที
สำหรับกลยุทธ์ในช่วงไตรมาส 4/2564 JD Central เตรียมแผนไว้ 4 กลยุทธ์คือ
– เปิดตัวฟีเจอร์ “Instant Joy” เป็นบริการ On-demand Delivery เพื่อจัดส่งภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมงหลังจากลูกค้ากดสั่งซื้อ
จากปัจจุบันความเร็วในการจัดส่งสินค้าอีคอมเมิร์ซในไทย มีทั้งบริการ Next Day Delivery คือ จัดส่งในวันถัดไปหลังจากที่สั่งซื้อ ไปจนถึง 2 – 3 วัน
แต่สำหรับบริการ On-demand Delivery เมื่อลูกค้ากดสั่งซื้อ สามารถรับสินค้าภายใน 30 นาที – 1 ชั่วโมง โดยเริ่มทดลองใช้บริการแล้วในบางพื้นที่ และสินค้าบางกลุ่ม เช่น กลุ่มสินค้า FMCG และสินค้าขนส่งได้ง่าย และมีแผนขยายบริการนี้กับสินค้ากลุ่มอื่น เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสด
ดังนั้นนอกจากการพัฒนาโลจิสติกส์สำหรับการจัดส่งทั่วไปแล้ว ต่อไป JD Central มีแผนทำโลจิสติกส์สำหรับบริการ Instant Joy มากขึ้น
– ขยายความร่วมมือพันธมิตรธุรกิจไปยังกลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มประกัน ร้านอาหาร สปา เพื่อเป็นช่องทางนำเสนอแพ็คเกจ e-Voucher กลุ่มธุรกิจบริการดังกล่าว
เช่น จองแพ็คเกจโรงพยาบาล หรือซื้อกรมธรรม์ – จองประกันต่างๆ บนแพลตฟอร์มบนแพลตฟอร์ม JD Central
– เพิ่มแบรนด์สินค้าจากต่างประเทศ ทั้งแบรนด์จีน และจากประเทศอื่น
เนื่องจาก JD มีพาร์ทเนอร์กับแบรนด์จีนหลายราย จึงนำเข้ามาเพื่อเป็นแบรนด์ทางเลือกให้กับลูกค้าที่ต้องการสินค้าในราคาย่อมเยา และมีประกันหลังการขาย และสินค้าแฟชั่น เป็นสินค้า Cross Border จากต่างประเทศ
ขณะเดียวกันเพิ่มโอกาสแบรนด์ไทยส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่ม Food & Beverage และสินค้า OTOP ของไทย
– เพิ่มโซลูชั่นการตลาด ด้วยการจับมือกับ Facebook แนะนำเครื่องมือ Manage Partner Ads (MPA) สำหรับผู้ประกอบการ SME ใช้ในการยิงโฆษณา เพื่อกระตุ้นยอดขายของแบรนด์และร้านค้า พร้อมทั้งจับมือกับ Google เตรียมนำเครื่องมือด้านการตลาดมาสนับสนุนผู้ขายบนแพลตฟอร์ม
6. เตรียมขยับสู่โมเดล “O2O”
ทิศทางค้าปลีกทั่วโลก ไม่ว่าจะอีคอมเมิร์ซ หรือออฟไลน์ คือ การขยับสู่โมเดล “Omnichannel” หรือ “O2O” เชื่อมต่อประสบการณ์ช้อปปิ้ง “ออนไลน์ – ออฟไลน์” เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ
หนึ่งในยุทธศาสตร์ของ JD.com คือ O2O เช่นกัน ดังจะเห็นได้ในจีน JD.com มีเชนซูเปอร์มาร์เก็ต “7FRESH” เปิดตัวในปี 2018 และในปีถัดมาเปิดอีกโมเดล “7FRESH LIFE” ค้าปลีกที่ผสมระหว่างคอนเซ็ปต์ร้านสะดวกซื้อ + ร้านขายอาหารสด + ร้านอาหารเข้าด้วยกัน
หรือล่าสุดลงทุนเปิดตัว JD Mall ห้างสรรพสินค้าขนาด 42,000 ตารางเมตรในเมืองซีอานพร้อมประสบการณ์แบบ Immersive ด้วยโซนต่าง ๆ ที่มีลูกเล่นหลากหลายไว้ดึงดูดใจลูกค้า
- อ่านเพิ่มเติม: ตามดู “เทรนด์ค้าปลีกจีน” ล้ำไปไกลแค่ไหน ? เมื่อ Retail Landscape ในจีนเปลี่ยนแปลงเร็ว
- อ่านเพิ่มเติม: เปิดตัวห้างไฮเทค “JD Mall” ทดลองสินค้าที่ห้าง ซื้อผ่าน WeChat ส่งตรงถึงหน้าบ้าน
แน่นอนว่า “JD Central” กำลังมุ่งไปในแนวทาง “O2O” เช่นกัน
“การแข่งขันตลาดอีคอมเมิร์ซ ไม่สามารถอยู่บนออนไลน์อย่างเดียว แต่ต้องมีช่องทางการขายอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา เพื่อไปสู่รูปแบบ Omnichannel หรือ O2O ทำให้สร้างประสบการณ์ลูกค้าได้ดีขึ้น ซึ่ง JD Central มีแผนทำ O2O ครบด้าน ทั้งซื้อขายสินค้าผ่านออนไลน์ และออฟไลน์ได้ เป็นหนึ่งในโฟกัสกลยุทธ์หลักของเรา
โดยเบื้องต้นมีแผนเจาะเป็นโลเคชั่น โดยเอาตัวเราไปอยู่ใกล้ผู้บริโภคให้มากที่สุด เพื่อทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าเราได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น” คุณก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานบริหารฝ่ายการตลาด JD Central ฉายภาพทิศทางต่อไปของแพลตฟอร์ม JD Central
จัดแคมเปญ 928 Birthday Fest ครบรอบ 3 ปี
ในโอกาสครบรอบ 3 ปี JD Central ได้จัดแคมเปญ “928 Birthday Fest” ประกอบด้วย
– ส่วนลดสูงสุด 90% ตลอด 3 วัน
– รับ JD POINTS มูลค่า 928 บาททุกออเดอร์ เมื่อช้อปครบ 99 บาท โดยสินค้าจัดส่งถึงบ้าน ไม่มีการยกเลิกหรือคืนสินค้า ลูกค้าจะได้รับ JD POINTS มูลค่า 928 บาท และสามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 28 -30 กันยายน
– Incredible deals สินค้าราคาพิเศษ
– Birthday Pocket เปิดซองแจกของขวัญทุกวัน ยิ่งส่งให้เพื่อนยิ่งมีสิทธิ์ลุ้น พร้อมส่วนลดจากแบรนด์ดัง