HomeSponsoredมากกว่าขนม “ทาโร” ปั้นแบรนด์ยั่งยืน ตอกย้ำ “ธุรกิจ- สังคม-สิ่งแวดล้อม” ต้องไปพร้อมกัน

มากกว่าขนม “ทาโร” ปั้นแบรนด์ยั่งยืน ตอกย้ำ “ธุรกิจ- สังคม-สิ่งแวดล้อม” ต้องไปพร้อมกัน

แชร์ :

เมื่อความตระหนักต่อนโยบายด้าน “ความยั่งยืน” กลายเป็น New Normal ของโลก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเริ่มส่งสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้น ถึงความบอบช้ำสะสมที่ได้รับจากฝีมือมนุษย์มายาวนานหลายสิบปี ทำให้ทุกภาคส่วนต่างหันมาให้ความสำคัญในการดูแล และลดผลกระทบต่างๆ เพื่อไม่เป็นการซ้ำเติมโลกใบนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการวางแนวทางเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ที่ไม่อาจมองแค่ตัวเลขการเติบโตหรือผลกำไรทางธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียวได้อีกต่อไป แต่ต้องมองให้ครบทั้งมิติของสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และหลักธรรมาภิบาล (Governance) ควบคู่กันไปอย่างสมดุลย์

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เช่นเดียวกับแบรนด์สแน็คจากเนื้อปลาที่คนไทยคุ้นเคยมากว่า 40 ปี อย่าง “ทาโร” (Taro) ที่แม้จะเป็นเพียงขนมขบเคี้ยว แต่ก็เข้าใจบริบทของโลกเป็นอย่างดี และไม่ละเลยที่จะขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ควบคู่ไปกับการส่งมอบคุณค่าต่างๆ ไปยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตลอดทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่ Up Stream ไปจนถึง Down Stream ไม่เว้นแม้แต่การต่อยอดเพื่อสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับ Waste ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจอีกด้วย

โปร่งใส จริงใจ ตรวจสอบได้

หากลองสังเกตุที่ซองบรรจุภัณฑ์ของทาโร จะพบว่าทุกซองจะมี QR Code กำกับไว้ และเมื่อลองสแกนดูก็จะได้รับทราบถึงข้อมูล ก่อนที่ทาโรแต่ละซองจะมาอยู่ในมือเรานั้น ได้ผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง เปิดเผยตั้งแต่วัตถุดิบที่ใช้ แหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการขั้นตอนในการผลิต และมาตรฐานการผลิตต่างๆ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าได้บริโภคสินค้าที่มีคุณภาพ และมีกระบวนการผลิตภายใต้หลักจริยธรรมและธรรมาภิบาลที่ถูกต้องอย่างแน่นอน

กระบวนการที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้นี้ เรียกว่า Traceability Process ซึ่ง ทาโร เป็นแบรนด์แรกในกลุ่มขนมขบเคี้ยวที่นำกระบวนการนี้มาใช้ เพื่อต้องการสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้บริโภค เพราะถึงแม้จะเป็นแค่ขนมขบเคี้ยว แต่ทาโรก็เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและให้คุณประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะเลือกใช้วัตถุดิบจากปลาทะเลธรรมชาติ ที่ส่วนใหญ่เป็นปลาเศรษฐกิจ เช่น ปลาเอโสะ หรือปลาปากคม จากน่านน้ำต่างๆ ทั่วโลก ทั้งอ่าวเบงกอล อ่าวไทย มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และผลิตขึ้นภายใต้กระบวนที่ยึดตามหลักธรรมมาภิบาล ไม่มีการเบียดเบียนสังคมหรือสิ่งแวดล้อม มีการทำประมงอย่างถูกต้องตามกฏหมายโดยไม่ทำลายระบบนิเวศของปลาทะเล และใช้แรงงานที่ถูกต้อง รวมทั้งยังช่วยกระจายรายได้ให้กับผู้คนในพื้นที่รอบๆ อีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีมาตรฐานความปลอดภัยทางอาหาร Food Safety ถึง 6 ด้าน ทั้งการปนเปื้อนของสิ่งแปลกปลอม สารเคมี ส่วนประกอบอันตราย เชื้อจุลินทรีย์ที่อาจก่อให้เกิดโรค หรืออันตรายจากอาหารปลอมต่างๆ  ซึ่งการที่ทาโรนำระบบ Traceability Process มาใช้ จะช่วยกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาใส่ใจตรวจสอบและเลือกรับประทานสิ่งที่มีประโยชน์และปลอดภัยอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในยุคที่ทุกคนใส่ใจเรื่องของสุขภาพ การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นอีกปัจจัยต้นๆ ที่คนให้ความสำคัญ และหากมีข้อมูลของสิ่งที่ต้องรับประทานได้จนถึงต้นตอวัตถุดิบและกระบวนการผลิต จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในการเลือกรับประทานได้มากขึ้น พร้อมทั้งยังช่วย Set Standard ให้ภาคธุรกิจอาหาร รวมทั้งสะท้อนถึงความจริงใจที่มีต่อผู้บริโภคได้อีกด้วย

เพิ่ม Value ขยะพลาสติก สู่ Eco Bricks

ปัญหาขยะล้นโลก เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ทำให้โลกบอบช้ำ โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่เกิดได้ง่าย แต่กำจัดยาก เพราะใช้เวลาในการย่อยสลายตามธรรมชาตินานถึง 450 ปี ยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ปริมาณขยะยิ่งมีเพิ่มมากขึ้นกว่า 60% จนเริ่มเข้าขั้นวิกฤติ ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา คนไทยสร้างขยะมากถึง 27.35 ล้านตัน และแน่นอนว่าไม่ใช่ขยะทั้งหมดจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกวิธีและสามารถนำข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ แต่มีบางส่วนที่ต้องนำไปฝังกลบ เผาทำลาย และก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมตามมา รวมทั้งบางส่วนที่เล็ดลอดไหลลงสู่ทะเล กลายเป็นอันตรายต่อสัตว์ทะเล จนมีภาพสะเทือนใจออกมาให้เราได้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

ในฐานะที่ต้องใช้พลาสติกมาทำซองบรรจุภัณฑ์ ทาโรก็ไม่ละเลยที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกลงด้วยเช่นกัน จึงได้ริเริ่มโครงการ TARO ECO BRICKS อร่อยปันกัน ลดขยะสร้างประโยชน์” ด้วยแนวคิดเปลี่ยนซองเปล่า ไม่ให้เปล่าประโยชน์ ที่นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกโดยรวมลงได้แล้ว ยังสามารถสร้างคุณประโยชน์ หรือสร้าง Value จาก Waste ด้วยการเปลี่ยนซองเปล่าทาโรและขยะพลาสติกอื่นๆ ให้กลายเป็น Eco Bricks หรือ พลาสอิฐ เพื่อนำไปใช้งานแทนอิฐก่อสร้าง หรือนำไปประดิษฐ์เป็นของใช้ต่างๆ ที่สร้างให้เกิดประโยชน์ขึ้นได้ใหม่อีกครั้ง

โดยโครงการนี้ทาโร ร่วมกับพันธมิตรที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงร่วมกัน ได้เปิดจุดรับบริจาคซองเปล่าทาโร ผ่านร้านปันกันทุกสาขา หรือจุดรับบริจาคในโรงเรียน และสถานประกอบการต่างๆ มากกว่า 100 จุด ทั่วประเทศ เพื่อนำซองที่ได้ไปเปลี่ยนเป็น Eco Bricks ที่เกิดจากการตัดเศษพลาสติกเป็นชิ้นเล็กๆ และอัดเข้าไปในขวดพลาสติกจนแน่นเพื่อให้มีความแข็งแรงจนไม่สามารถบีบหรือทำให้เปลี่ยนรูปได้ เพื่อให้สามารถนำไปประดิษฐ์เป็นสิ่งของที่ใช้ประโยชน์ได้ต่อไป หรือใช้แทนอิฐสำหรับการก่อสร้างต่างๆ โดยทาโรตั้งใจจะนำ Eco Bricks ไปสร้างพื้นที่เรียนรู้ การทำบ้านดิน ที่สวนศึกษาผึ้งน้อยนักสู้ ณ พึ่งสุขฟาร์มอินทรีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ในการสอนทำ Eco Bricks เพื่อร่วมสนับสนุนการส่งต่อองค์ความรู้ให้กับประชาชนที่สนใจสามารถนำไปทำ Eco Bricks เพื่อลดปริมาณขยะพลาสติกในบ้านเรือนหรือชุมชนของตัวเองต่อไป เป็นอีกหนึ่งพลังเล็กๆ เพื่อเริ่มต้นสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับสังคม และสิ่งแวดล้อมได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน

เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ตลอดเส้นทางกว่า 40 ปี ของ ทาโร ภายใต้การดูแลของ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ได้ให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณค่าต่างๆ จากการดำเนินธุรกิจ ไปสู่ผู้บริโภคและสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวทาง “ส่งมอบคุณค่า อย่างมีคุณภาพ” ที่ยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง เพื่อให้สามารถส่งมอบคุณค่าที่แท้จริงของทาโรไปสู่ผู้บริโภคได้  โดยไม่ลืมที่จะดูแลทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบ ควบคู่กันไปด้วย

เริ่มตั้งแต่ความตั้งใจในการส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ ภายใต้การผลิตที่โปร่งใสและสามารถเชื่อมั่นได้อย่าง Traceability Process ซึ่งสะท้อนถึงการใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคม เพื่อให้ทุกคนได้มีสุขภาพที่ดีและกลายเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติได้อย่างมีคุณภาพต่อไป รวมทั้งการหารูปแบบที่จะสามารถดูแล ป้องกัน หรือช่วยลดภาระปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผ่านการสร้างสรรค์โครงการดีๆ อย่าง TARO ECO BRICKS อร่อยปันกัน ลดขยะสร้างประโยชน์ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของทาโรมีความ Environment & Social Friendly อย่างแท้จริง

ทาโร จึงเป็นตัวอย่างของภาคธุรกิจที่ยึดถือการสร้างคุณค่าแบบองค์รวม เพราะเชื่อว่าทุกๆ สิ่งต่างมีความสัมพันธ์และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน รวมทั้งพยายามขับเคลื่อนการเติบโตธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดูแลและพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อม และชุมชนไปพร้อมๆ กัน เพราะหากเกิดปัญหาขึ้นกับมิติใดมิติหนึ่งแล้ว สุดท้ายปัญหาเหล่านั้นก็จะส่งผลกระทบไปสู่มิติอื่นๆ ต่อกันไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การสร้างความสุข ความแข็งแรงและแข็งแกร่งให้กับทุกภาคส่วนที่อยู่โดยรอบ ก็จะนำมาซึ่งการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ธุรกิจในท้ายที่สุดด้วยเช่นเดียวกัน


แชร์ :

You may also like