หนึ่งในเซ็กเมนต์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินที่มาแรงที่สุดในช่วงที่ผ่านมาคือ “ตลาดคอลลาเจน” มีแบรนด์เข้ามาแข่งขันมากมาย หนึ่งในนั้นคือ “อมาโด้” (amado) ที่มี Champion Product ขายดีอย่าง “Colligi Collagen” หรือที่ใครๆ คุ้นตากับบรรจุภัณฑ์กระป๋องสีทอง ทำให้ต่อมา อมาโด้ ขยายโปรดักต์ไลน์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามินประเภทอื่น
แต่วันนี้ “อมาโด้” ได้วาง Brand Promise ใหม่ที่ว่า “We live for your health” โดยนิยามของคำว่า Health ไม่จำกัดแค่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน รวมทั้งไม่ตีกรอบเฉพาะผลิตภัณฑ์คอลลาเจนเท่านั้น หากแต่จะขยายไปในทุกอย่างที่เกี่ยวกับด้านสุขภาพ
เพราะฉะนั้นทิศทางต่อไปของอาณาจักรอมาโด้ จึง Diversify ธุรกิจครอบคลุมตั้งแต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน กลุ่มผลิตภัณฑ์ FMCG สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และของใช้ในชีวิตประจำวัน – ภายในบ้านที่ตอบโจทย์สุขภาพ
ล่าสุดได้จับกระแส “กัญชง” ที่กำลังจะเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย มาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันเมล็ดกัญชง ภายใต้แบรนด์ใหม่ “อมาไพร” (amaprai) โดยชื่อมาจาก อมาโด้ + สมุนไพร ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้ “อมาโด้” เป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน และรุกไปสู่ธุรกิจสุขภาพหลากหลายรูปแบบ
3 กลยุทธ์หลัก “อมาโด้” ดันยอดขายทะลุ 2.2 พันล้านภายใน 7 ปีที่ตั้งบริษัท!
“อมาโด้ กรุ๊ป” ก่อตั้งโดย “ธนาตรัยฉัตร ภูโชคอนันต์” เมื่อปี 2557 โดยยอดขายในช่วง 4 ปีมานี้ มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปี 2563 สามารถทำยอดขายสูงถึง 2,218 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปี 2562 ที่มียอดขาย 690 ล้านบาท
- ยอดขายปี 2560 : 222 ล้านบาท
- ยอดขายปี 2561 : 176.5 ล้านบาท
- ยอดขายปี 2562 : 690.9 ล้านบาท
- ยอดขายปี 2563 : 2,218.5 ล้านบาท
กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ “อมาโด้ กรุ๊ป” มียอดขายเติบโต มาจาก 3 Core Business ขององค์กรคือ
1. Data
ในการประกอบธุรกิจมา 7 ปี “อมาโด้” ได้เก็บ บริหารจัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า สำหรับนำมาใช้ในการพัฒนาสินค้า และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อรักษาฐานลูกค้าประจำที่มีการซื้อซ้ำต่อเนื่อง พร้อมไปกับการขยายฐานลูกค้าประจำรายใหม่ให้กว้างขึ้น ซึ่งจากข้อมูลตั้งแต่เดือนตุลาคม 2563 – ตุลาคม 2564 พบว่าอมาโด้ มีฐานลูกค้าประจำ 1.8 ล้านราย
2. Distribution Channel
ช่องทางการขายของอมาโด้ เริ่มต้นจาก “ออนไลน์” ทั้งสร้างช่องทางขายออนไลน์ของบริษัทเอง และตัวแทนจำหน่ายออนไลน์ ก่อนจะขยายไปยังช่องทางออฟไลน์ ทั้งคีออส และทำ Telesale ขายผ่านทีวีช้อปปิ้ง ส่งผลให้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ยอดขายจึงมาจาก Multi-channel ไม่ได้พึ่งพาช่องทางใดช่องทางหนึ่ง
ปี 2560 สัดส่วนการขายแบ่งเป็น
- ออนไลน์ 219 ล้านบาท
- คีออส 3.2 ล้านบาท
ปี 2561 สัดส่วนการขายแบ่งเป็น
- ออนไลน์ 172 ล้านบาท
- คีออส 4 ล้านบาท
ปี 2562 สัดส่วนการขายแบ่งเป็น
- ออนไลน์ 653 ล้านบาท
- คีออส 35.6 ล้านบาท
- คอลเซ็นเตอร์ (ว่าจ้างเอเจนซี่) 5 ล้านบาท
ปี 2563 สัดส่วนการขายแบ่งเป็น
- ออนไลน์ 1,584 ล้านบาท
- คีออส 88 ล้านบาท
- โมเดิร์นเทรด 390,000 บาท
- ทีวีช้อปปิ้ง (Telesale) 528 ล้านบาท
ปี 2564 สัดส่วนการขายแบ่งเป็น (มกราคม – กันยายน 2564)
- ออนไลน์ 895 ล้านบาท
- คีออส 43 ล้านบาท
- โมเดิร์นเทรด 45 ล้านบาท
- ทีวีช้อปปิ้ง (Telesale) 913 ล้านบาท
“หนึ่งในข้อได้เปรียบที่เป็นจุดแข็งของเรา คือ เราเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีลมหายใจเป็นของตัวเอง มีช่องทางการจัดจำหน่ายเป็นของตัวเอง โดยเราเติบโตด้วยลำแข้งตัวเองมาตลอด
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2560 – 2562 อมาโด้อยู่ในมหาสมุทรออนไลน์มาตลอด ต่อมาเราได้ขยายมายังช่องทางออฟไลน์ โดยที่การขายออนไลน์ ยังคงเป็นลมหายใจหลักของบริษัท
ในปี 2562 เราใช้เอเยนซีทำคอลเซ็นเตอร์ แต่เอเจนซีเก็บ GP สูง ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรม จึงตัดสินใจจะไม่ใช้เอเจนซีที่เก็บ GP แพงอีกต่อไป หลังจากนั้นปี 2563 จึงเริ่มจำหน่ายในช่องทางทีวีช้อปปิ้ง โดยเมื่อปีที่แล้วบริษัทฯ ลงทุนระบบ Telesale และเริ่มทำการตลาดช่องทางออฟไลน์ ช่วยผลักดันให้ยอดขายออนไลน์เติบโต 2 เท่า จาก 650 ล้านบาทในปีก่อน เพิ่มขึ้นมาเป็น 1,584 ล้านบาท
เช่นเดียวกับการเติบโตของช่องทาง Telesale ทั้งจำนวนสายที่โทรเข้ามา ทุกวันนี้เราสร้าง New High ในช่องทางทีวีช้อปปิ้ง 9,000 – 10,000 สายต่อวัน และยอดขายในช่วง 9 เดือนของปีนี้ ทำได้ 913 ล้านบาท”
3. R&D
ปัจจุบันอมาโด้ กรุ๊ป ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และวิตามินหลายประเภท แต่แน่นอนว่าสินค้าที่ทำยอดขายหลักยังคงมาจากกลุ่มคอลลาเจน
– Collagi Collagen กระป๋องสีทอง 1,162 ล้านบาท (59%)
– H Collagen กระป๋องสีแดง 114 ล้านบาท (6%)
– Silver Collagen กระป๋องสีเงิน สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ 187 ล้านบาท (9%)
– Cerigi คอลลาเจนแบบเม็ด สำหรับ Anti-aging เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ 200 ล้านบาท (10%)
– Ben C วิตามินซี เม็ดฟู่ 210 ล้านบาท (11%)
– Ka-Ne โปรไบโอติก 13 ล้านบาท (1%)
– BifinaEx กล่องสีทองจากญี่ปุ่น 100 ล้านบาท (5%)
“วันนี้เรามีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ นั่นหมายความว่าอมาโด้ ไม่ใช่เป็นแบรนด์คอลลาเจนกระป๋องทองเสมอไป แต่เป็นแบรนด์ที่มีสินค้าเพื่อสุขภาพหลากหลายชนิด”
ปั้นแบรนด์ใหม่ “อมาไพร” (amaprai) จับตลาดสมุนไพร นำร่องน้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส
จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาต และการอนุญาตผลิตนำเข้า ส่งออกจำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชง พ.ศ. 2563 เปลี่ยนจากกัญชงให้พ้นยาเสพติดเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ จะมีการพัฒนาและวิจัยกัญชงที่จะใช้ในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ทำยา สมุนไพร อาหาร เครื่องสำอาง เพราะกัญชงออกฤทธิ์กลุ่มเดียวกันกับกัญชา
ข้อมูลอ้างอิงงานวิจัยของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ประมาณการมูลค่าอุตสาหกรรมกัญชงของไทยไว้ ณ กรกฎาคม 2564 หลังจากการปลดล็อคการประกอบธุรกิจกัญชงได้เชื่อมโยงไปสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรม 5 กลุ่ม ได้แก่ เครื่องดื่ม อาหาร ยาและอาหารเสริม เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล ด้วยมูลค่าตลาดกัญชงรวมประมาณ 15,800 ล้านบาท และใน 5 ปีข้างหน้าหรือสิ้นปี 2568 จะเติบโตเฉลี่ย 126% ต่อปี
ล่าสุด “อมาโด้” มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในตลาดสมุนไพรกัญชง และเพื่อเพิ่มแนวทางและจุดแข็งของธุรกิจ จึงนำแนวคิด “ธรรมชาติโภชนา” (Natural Nutrition) มาเสริมจุดแข็งกลุ่มผลิตภัณฑ์วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เปิดตัวสินค้าใหม่ในหมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มสมุนไพร ภายใต้แบรนด์ “อมาไพร” มีที่มาจาก อมาโด้ + สมุนไพร ประเดิมสินค้า SKU แรกของแบรนด์ คือ อมาไพร น้ำมันเมล็ดกัญชง พลัส (Amaprai Hemp Seed Oil Plus) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกัญชงมีการขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อมูลจาก ยูโรมอนิเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเมินว่าปี 2563 ยอดขายตลาดสินค้าสมุนไพรของโลกมีมูลค่า 204,070 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต (CAGR) จากปี 2563 – 2570 คิดเป็น 5.9% โดยคาดว่าในปี 2570 ตลาดสินค้าสมุนไพรทั่วโลกจะมีมูลค่า 304,828 ล้านบาท
ประกอบกับสถานการณ์โลกที่โดนผลกระทบจากโรคระบาด COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคจึงหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติและออแกนิกมากขึ้น จนเกิดกระแส Healthy Living
อมาโด้ กรุ๊ป คาดการณ์ว่าในอีก 3 ปีข้างหน้า แบรนด์อมาไพร จะมีส่วนแบ่งทางการตลาด 10% จากมูลค่าตลาดสินค้าสมุนไพรไทยและสมุนไพรจีนในไทยรวมกว่า 40,867 ล้านบาท
“เราใช้ความเชี่ยวชาญของเรา คือ R&D ช่องทางจัดจำหน่าย และฐานข้อมูล มาพัฒนาผลิตภัณฑ์จากกัญชง ถ้าได้การตอบรับดี ต่อไปสมุนไพรสามัญประจำบ้าน เราอาจเอามาแปรรูปเพิ่มมูลค่า เช่น ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว หรือแม้แต่ยาหม่อง
เมื่อต้นปีเราให้ Brand Promise กับผู้บริโภคไทยไว้ว่า We live for your health คำว่า Health ไม่ได้จำกัดแค่วิตามิน และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับสุขภาพ เราจะจำหน่ายผ่านช่องทาง amado shopping เช่น เครื่องฟอกอากาศ หมอน ผ้าปูที่นอน สินค้าบริโภคภายในบ้านที่ตอบโจทย์สุขภาพ แต่ในขณะที่เรามีกลุ่มสินค้าหลากหลาย อมาโด้ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและวิตามิน” คุณธนาตรัยฉัตร สรุปทิ้งท้าย