หลังจากประกาศอย่างเป็นทางการถึงดีลความร่วมมือ ที่จะเกิดขึ้นระหว่าง 2 ผู้ประกอบการโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของไทย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชัน จํากัด (มหาชน) หรือ dtac
บทสรุป สำหรับดีลควบรวมกิจการ ที่กำลังจะเกิดขึ้น มีดังนี้
1.ทรู และ ดีแทค ได้ศึกษาความเป็นไปได้และดําเนินการตามขั้นตอน “ควบรวมบริษัท” ระหว่างกัน ภายใต้ พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจํากัด พ.ศ.2535 (การควบบริษัท) และอนุมัติให้ ทรู และ ดีแทค ทำความตกลงเบื้องต้นแบบไม่มีผลผูกพัน (MOU) เพื่อพิจารณาและศึกษาการรวมธุรกิจระหว่างทรูและดีแทค
2.ทรู ได้กำหนดอัตราการจัดสรรหุ้น (Swap Ratio) สำหรับการจัดสรรหุ้นใน “บริษัทใหม่” ที่เกิดจากการควบรวมบริษัท ให้ผู้ถือหุ้นของ ทรู และ ดีแทค
– หุ้นเดิมในทรู ต่อ 2.40072 หุ้นในบริษัทใหม่
– หุ้นเดิมใน ดีแทค ต่อ 24.53775 หุ้นในบริษัทใหม่
– การจัดสรรหุ้นดังกล่าว จากสมมติฐานว่า หลังการควบรวมบริษัท “บริษัทใหม่” จะมีหุ้นที่ออกมาจำหน่ายแล้วทั้งหมด 138,208,403,204 หุ้น โดยมีมูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
– หลังการควบรวมบริษัททั้งทรูและดีแทคเสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติขั้นตอนการควบรวมบริษัทต่อไป
3.จัดตั้งบริษัท ซิทริน โกลบอล จำกัด (Citrine Global) เป็นผู้ทำคำเสนอซื้อหุ้น ทรูและดีแทค โดย “ซิทริน โกลบอล” เป็นบริษัทร่วมทุน (JV) ระหว่าง บริษัทเจริญโภคภัณฑ์ โฮลดิ้ง จำกัด (ผู้ถือหุ้นทรู) และ Telenor Asia (ผู้ถือหุ้นดีแทค)
4.ซิทริน โกลบอล จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ “ทรู” โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 5.09 บาท
5. ซิทริน โกลบอล จะทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ “ดีแทค” โดยสมัครใจแบบมีเงื่อนไขก่อนการทำคำเสนอซื้อ ในราคาหุ้นละ 47.76 บาท
ทางทีมงาน BrandBuffet คาดการณ์ว่าหลังจากดำเนินการซึ่งต้องใช้เวลาพักใหญ่ น่าจะนำบริษัทใหม่นี้ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวมทั้งรีแบรนด์เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคต่อไป