ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปีที่ผ่านมา พื้นที่บริเวณหัวมุมถนนสีลมตัดกับถนนพระราม 4 ที่เราคุ้นเคยคือที่ตั้งของ “ดุสิตธานี กรุงเทพ” (Dusit Thani Bangkok) โรงแรมหรู 5 ดาว แห่งแรกของไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์กที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับประเทศมาเนิ่นนาน และมีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะทั้งเซเลบริตี้และผู้มีชื่อเสียงในหลากหลายวงการจากทั่วทุกมุมโลกมาโดยตลอด
แม้โรงแรมแห่งนี้ยังมีศักยภาพในการทำรายได้ให้กับกลุ่มดุสิตธานีอีกอย่างน้อย 15 ปี แต่เมื่อกาลผ่านเวลาเปลี่ยน การปรับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงให้มีความพร้อมที่จะก้าวสู่อนาคตอย่างยั่งยืน จึงเป็นคำตอบที่ทำให้ทีมผู้บริหาร ตัดสินใจลงทุนครั้งสำคัญด้วยการปั้นตำนานบทใหม่ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” โครงการมิกซ์ยูสด้วยแนวคิด Here for Bangkok” ขึ้น บนทำเล “Super CBD” ใจกลางกรุงที่เป็น Strategic & Prime Location แห่งนี้ โดยผนึกกำลังกับพันมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกและสำนักงานให้เช่าอย่างเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เพื่อทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวภายใต้บริษัท วิมานสุริยา จำกัด
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค หมุดหมายใหม่ของมหานคร “กรุงเทพฯ” ที่กลุ่มสถาปัตยกรรมถูกจัดวางอย่างลงตัว โดยให้ทุกอาคารสามารถมองเห็นความเขียวขจีของสวนลุมพินี การจัดเรียงเส้นสายของแต่ละอาคาร ทว่าอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกันได้อย่างกลมกลืน ประกอบด้วย โรงแรมระดับห้าดาว ดุสิตธานี กรุงเทพ, อาคารที่พักอาศัยในรูปแบบ Branded Residences ได้แก่ ดุสิต เรสซิเดนเซส และดุสิต พาร์คไซด์, สำนักงาน คือ เซ็นทรัล ออฟฟิสเซส และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค และต่อไปนี้คือ 8 เรื่องสุดว้าวของ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ที่ทาง Brand Buffet อยากเล่าให้ฟัง
1. สืบสานตำนานอันทรงคุณค่าสู่ความร่วมสมัย
“เก่าไม่ไป แต่ใหม่ต้องมา” เหตุที่กล่าวเช่นนั้น เพราะความเป็น “ตำนาน” และ “มนต์เสน่ห์” ในวันวานของดุสิตธานี กรุงเทพ ยังคงถูกนำมาถ่ายทอดอย่างละเมียดละไม ผ่านสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง “ยอดชฎาสีทอง” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามฯ และถือเป็นสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าของโรงแรมเดิม ถูกนำกลับมาออกแบบใหม่และติดตั้งไว้บนชั้นดาดฟ้า พร้อมพื้นที่สำหรับจัดแสดงดิจิทัลแกลลอรี่บอกเล่าความทรงจำอันแสนสุข และอดีตอันรุ่งเรืองของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพในชั้นนี้จะมีร้านอาหารและรูฟท็อปบาร์รอบ ๆ ฐานชฎา
นอกจากนี้ ทางโครงการยังได้นำสิ่งที่ทรงคุณค่าจากโรงแรมเดิม เช่น ภาพจิตรกรรมฝาผนัง เสาเบญจรงค์ น้ำตกที่เคยตั้งอยู่บริเวณล็อบบี้ และกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมมาใช้ในการออกแบบให้ร่วมสมัยมากขึ้น เพื่อส่งผ่านเสน่ห์และประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าในวันวานมาสู่ยุคปัจจุบันและในอนาคตเพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้รับทราบถึงที่มาของอาคารที่เคยเป็นไอคอนิกของประเทศไทยมาช้านาน
เช่นเดียวกับตัวเลขมงคลต่าง ๆ ทั้งเลข 6 และเลข 9 ที่สอดแทรกอยู่ในทุกมิติของการออกแบบโรงแรมก็ได้ถูกนำมาใช้อย่างแยบยล ผ่านองค์ประกอบต่าง ๆ ของโครงการ เช่น จำนวนห้องพัก และจำนวนชั้นของอาคาร เป็นต้น
2. คงมาตรฐานความเป็นโรงแรมห้าดาวโรงแรมหนึ่งเดียวในกรุงเทพฯ ที่มองเห็นวิวสวนลุมพินีทุกห้อง
ไม่มีโรงแรมไหนในกรุงเทพฯ ที่ห้องพักทุกห้อง สามารถมองเห็นวิวสวนลุมพินี 100% เหมือนกับดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่ แม้ที่ดินใจกลางเมืองจะมีราคาแพงระยิบ แต่ผู้บริหารกลับเล็งเห็นว่าการจะพัฒนาโรงแรมระดับห้าดาว จำเป็นจะต้องแลกกับจำนวนห้องพักที่ลดลงเหลือเพียง 259 ห้อง ขณะที่แต่ละห้องจะมีพื้นที่กว้างมากขึ้น และเพดานสูงโล่ง โปร่งสบายมากขึ้น พร้อมกับรองรับความปลอดภัยด้านอุบัติเหตุและสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล ขณะที่สระว่ายน้ำเดิมที่อยู่ด้านหลัง ก็ออกแบบใหม่ให้ทอดตัวยาว ด้านหน้าของโรงแรม เพื่อให้อิ่มเอมกับวิวสวนลุมพินีแบบจุใจ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สมกับ Positioning ใหม่ของโรงแรม และเพื่อสร้างจุดขายที่แตกต่างอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ กว่า 70 ปี ที่ดุสิตธานีอยู่เคียงคู่กับ “World-class hospitality” ด้วยศรัทธาและความมุ่งมั่นอย่างจริงใจในการต้อนรับแบบไทย ในบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่หรูหราและท่าทีสุขุมอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ กอรปกับบริการเฉพาะตัวที่เป็นเลิศ ได้ส่งต่อมาสู่โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ โฉมใหม่แบบไม่มีตกหล่น เพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใครให้กับแขกทุกคน ขณะเดียวกันก็เป็นการตอกย้ำมาตรฐานและตำนานเหนือกาลเวลาของดุสิตธานี เชนโรงแรมไทยชั้นนำ ที่สร้างชื่อเสียงในระดับโลกมาเนิ่นนาน
3. Branded Residences แบรนด์แรกในไทย ที่รวม 2 รูปแบบการใช้ชีวิตไว้ในอาคารเดียว
ด้วยผลงานการออกแบบโดย บริษัท ดราก้อน จำกัด ซึ่งมีที่ปรึกษาหลัก คือ บริษัท โอเอ็มเอ เอเชีย (ฮ่องกง) จำกัด และบริษัท สถาปนิก 49 อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ทำให้ Branded Residences ของดุสิตธานี ได้รับการออกแบบสถาปัตยกรรมอย่างชาญฉลาด ได้รับวิวทั้งสวนลุมพินี และวิวเมือง และสามารถใช้ที่ดินมูลค่ามหาศาลให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยแต่ละรูปแบบการใช้ชีวิต (living concept) ทั้ง Dusit Residences และ Dusit Parkside แม้จะอยู่ภายในอาคารเดียวกันที่สูง 69 ชั้น แต่ก็ถูกออกแบบให้มีความเป็นสัดส่วนชัดเจน ด้วยพื้นที่ส่วนกลาง เช่น สระว่ายน้ำ ยิม ที่จอดรถ ห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง ห้องเด็กเล่น แต่ขณะเดียวกันก็มีพื้นที่ส่วนกลางในชั้น 8 ที่ผู้พักอาศัยทั้งสอง สามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น ห้องสปา ห้องทำเล็บ ซาลอน ห้องอเนกประสงค์ และห้อง Telemedicine เป็นต้น
โดยพื้นที่ส่วนกลางเฉพาะของดุสิต เรสซิเดนเซส อยู่บนชั้น 46 และชั้น G และส่วนของดุสิต พาร์คไซด์ อยู่บนชั้น 29 และชั้น G
“ดุสิต เรสซิเดนเซส” (Dusit Residences) มาพร้อมกับคอนเซปต์ Classic Luxury โดดเด่นด้วยความ “น้อยแต่มาก” เพราะมีห้องชุดเพียง 160 ยูนิต แต่มีขนาดโอ่อ่าตั้งแต่ประมาณ 120 – 750 ตารางเมตร มีให้เลือกตั้งแต่ 2 – 4 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ ในรูปแบบชั้นเดียว (ซิมเพล็กซ์) แบบเพดานสูงถึง 6.6 เมตร และแบบสองชั้น (ดูเพล็กซ์) โดยแต่ละห้องมีความเป็นส่วนตัวสูง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว เพราะลิฟท์จะตรงดิ่งถึงห้องชุดของผู้พักอาศัยโดยตรง ด้วยการออกแบบให้มีโถงลิฟท์ส่วนตัว หรือ Private Lift Lobby ขณะที่ “ดุสิต พาร์คไซด์” (Dusit Parkside) ชูจุดขายในแบบฉบับของ Lifestyle Luxury จำนวน 246 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 55 – 115 ตารางเมตร มีให้เลือก 1-2 ห้องนอน ในรูปแบบชั้นเดียว (ซิมเพล็กซ์) แบบเพดานสูงถึง 6.6 เมตร และห้องขนาดพิเศษ ซึ่งเพดานที่สูงถึง 6.6 เมตรนี้ ต้องยอมรับว่ายังไม่เคยมีคอนโดใดที่ให้ความสูงขนาดนี้มาก่อน
ทุกยูนิตของทั้งดุสิต เรสซิเดนเซส และดุสิต พาร์คไซด์ ถูกออกแบบโดยยึดหลัก Consumer Centric และคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี แถมมีเซอร์ไพรส์ในหลาย ๆ จุดที่ไม่ค่อยมีให้เห็นในโครงการอื่น เช่น ห้องบางขนาดจะมีโซนทำครัวและเตรียมอาหารที่เผยให้เห็นวิวเมืองแบบเต็ม ๆ ตา ผ่านกระจกบานใหญ่ที่ทอดตัวยาวจากเพดานจรดพื้น
ทั้งสองโครงการไม่ได้แบ่งกลุ่มเป้าหมายตามช่วงวัยหรือรายได้ แต่แยกตามรสนิยม รูปแบบการใช้ชีวิต และขนาดห้องที่ต้องการ คนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว และการออกแบบที่อบอุ่น สุขุมนุ่มลึกดูมีมาดและท่าทีที่เป็นผู้ใหญ่กว่า จะเหมาะกับดุสิต เรสซิเดนเซส ขณะที่คนโสดที่ชอบพบปะสังสรรค์ และชอบดีไซน์เท่ ๆ ชิค ๆ จะเหมาะกับดุสิต พาร์คไซด์ เป็นต้น
ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต และความชื่นชอบในแนวทางการออกแบบและตกแต่งภายใน ว่าจะเลือกตกลงปลงใจให้รูปแบบการใช้ชีวิตแบบไหน ภายใต้การบริการระดับเวิลด์คลาสจากทีมงานของดุสิตธานี เพราะในแง่ของความหรูหราและราคาต่อตารางเมตรนั้นทัดเทียมกัน
ที่สำคัญจากดีเอ็นเอของแบรนด์ “ดุสิตธานี” ที่ยึดมั่นในปรัชญาการบริการที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ให้การต้อนรับและดูแลด้วยความอบอุ่น และบริการด้วยความใส่ใจ ก็จะถูกนำเสนอผ่านดุสิต เรสซิเดนเซส และดุสิต พาร์คไซด์ ซึ่งเป็น Branded Residences สัญชาติไทย 100%
4. ใส่ใจในทุกรายละเอียด พิถีพิถันในการคัดสรรแบรนด์คุณภาพระดับโลก
กระจกของโครงการ Branded Residences เป็น Aluminum frame with low E laminated insulated glazed ที่ช่วยลดความร้อนก่อนเข้าสู่อาคาร ดังนั้นแม้จะเป็นโครงการที่มีกระจกบานใหญ่แบบจัดเต็ม ก็สามารถรับมือกับความร้อนจากภายนอกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีระบบกรองอากาศระดับ HEPA ที่ได้รับการยอมรับมาตรฐานระดับโลก เพื่อคัดกรองมลภาวะ ไวรัส แบคทีเรียและ PM 2.5 จากภายนอกก่อนที่อากาศจะเข้ามาสู่พื้นที่ภายใน เพื่อให้มั่นใจว่าผู้พักอาศัยจะได้รับอากาศที่สะอาดสดชื่นเสมอ รวมไปถึงการคำนวณในเรื่องของทิศทางลมธรรมชาติและแสงแดด ที่แต่ละห้องจะได้รับลมธรรมชาติและแสงแดดที่เหมาะสมในทุกๆ วัน
ขณะที่แบรนด์เครื่องครัวและสุขภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาพร้อมใช้ในแต่ละโครงการก็ล้วนเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและเปี่ยมคุณภาพ โดยคัดสรรมาอย่างดี เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างลงตัว เช่น แบรนด์เครื่องครัวของ Arclinea และ Poggenpohl, เครื่องใช้ไฟฟ้าของ Miele, Liebherr, Kupperbusch และ Bosch โดยสุขภัณฑ์ในห้องน้ำจะเป็นของ Donbracht, Duravit, Hansgrohe และ Neorest by TOTO
5. เชื่อมต่อสะดวกสบายแบบ Seamless Connectivity ทั้งบนดินและใต้ดิน
มีโครงการมิกซ์ยูสน้อยแห่งมากในกรุงเทพฯ หรือแทบจะไม่มีเลย ที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนทั้งบนดินและใต้ดินแบบไร้รอยต่อ โดยดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ได้สร้างสะพานเชื่อมจากบีทีเอส สถานีศาลาแดง และเจาะอุโมงค์เชื่อมจากเอ็มอาร์ที สถานีสีลมจากฝั่งสวนลุมพินี เข้าสู่โครงการ เพื่อดึงทราฟฟิกและอำนวยความสะดวกให้กับทั้งแขกโรงแรม เจ้าของเรสซิเดนเซส ผู้คนที่ทำงานในอาคารสำนักงาน นักวิ่งที่ออกกำลังกายเป็นประจำที่สวนลุมพินี ที่สามารถวิ่งลอดอุโมงค์มายืดเส้นยืดสายต่อได้บนสวนลอยฟ้าของโครงการ ตลอดจนนักช้อปและนักชิมที่จะหลั่งไหลมาใช้บริการศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค นอกจากนี้ ด้วยความเป็นทำเลใจกลางเมืองอย่างแท้จริง ทำให้ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ใกล้กับจุดขึ้นลงทางด่วนหลายด่านอีกด้วย
6. ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ ครบครันทั้งแฟชั่น และกินดื่ม
ถนนสีลมและพระราม 4 จะถูกปลุกเร้าความมีชีวิตชีวาขึ้นไปอีกขั้น ด้วยศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ที่นำเสนอแบรนด์แฟชั่นไลฟ์สไตล์ในราคาจับต้องได้ ตอบโจทย์นักช้อปยุคใหม่ ขณะเดียวกันยังคลาคล่ำไปด้วยร้านอาหารหลากประเภท และสารพันคาเฟ่ชื่อดังสุดละลานตา ที่ปักหมุดเอาใจนักชิมโดยเฉพาะ ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างรื่นรมย์และอิ่มหมีพีมันในย่านนี้ได้แบบไม่รู้เบื่อได้ตลอดทั้งวัน
7. อาคารสำนักงานเกรด A ตอบโจทย์ Work-Life Balance
“เซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส” ตั้งตระหง่านเหนือศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ด้วยความสูง 40 ชั้น มาตรฐาน WELL และ LEED Gold Certified บนพื้นที่รวมทั้งหมด 90,000 ตารางเมตร เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟใต้ดินอย่างลงตัวออกแบบโดยคำนึงถึงการสร้างสรรค์พื้นที่ให้ผู้เช่าสามารถตกแต่งตามความต้องการ และใช้ประโยชน์พื้นที่ได้สูงสุด ตอบโจทย์เทรนด์ออฟฟิศยุคใหม่ และเทรนด์ Sharing Economy ที่กำลังได้รับความนิยมในประเทศไทย ขณะเดียวกันก็สร้างความสมดุลในการใช้ชีวิตการทำงานและไลฟ์สไตล์ได้ทุกอณูของพื้นที่
8. สวนลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพฯ
ในขณะที่สวนลุมพินี สวนสาธารณะเลื่องชื่อขนาด 360 ไร่ กำลังได้รับการปรับปรุงขนานใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปี การถือกำเนิดของสวนลอยฟ้าขนาด 7 ไร่ ในพื้นที่ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ที่เมื่อมองจากสวนแห่งนี้ไปยังสวนลุมพินี จะเห็นทัศนียภาพสีเขียวอันสวยสดงดงามแบบไม่มีที่สิ้นสุด จึงถือเป็นการเติมเต็มพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพฯ ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับเป้าหมายโครงการ Green Bangkok 2030 ที่กรุงเทพมหานครประกาศเจตนารมณ์ที่จะเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ได้ 10 ตร.ม.ต่อคน ภายในปี 2573
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการแรกที่พัฒนาพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ในใจกลางเมืองภายในโครงการของตนเองที่มีความเชื่อมต่อกับสวนลุมพินี นี่จึงเป็นหนึ่งในเรื่องสุดว้าวของดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่น่าจับตาเป็นอย่างมาก ในฐานะโครงการที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เป้าหมายดังกล่าวของกรุงเทพมหานครสัมฤทธิผล
โดยจุดเด่นของสวนลอยฟ้า หรือ Roof Park ปอดสีเขียวแห่งใหม่ที่จะมายกระดับคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ นี้ คือ การนำน้ำตกทรงเหลี่ยมขั้นบันได ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ มาเป็นแรงบันดาลใจในการตกแต่งให้เข้ากับสวน แต่ขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นตามสัดส่วน รวมถึงปรับรูปลักษณ์ให้ร่วมสมัยสอดคล้อง และกลมกลืนกับบรรยากาศแวดล้อมทั้งหมด ที่สำคัญยังมีระบบนิเวศที่สมบูรณ์ในแบบฉบับของสวนป่าเมืองร้อน ที่ออกแบบมาเพื่อให้เอื้ออำนวยต่อการพักผ่อนหย่อนใจ และทำกิจกรรมสันทนาการต่าง ๆ ท่ามกลางสวนสวยอันร่มรื่นที่อุดมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด ผู้ใช้บริการสามารถเข้าออกได้จากทุกชั้นที่เชื่อมต่อกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค ที่พักอาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงาน
ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค บนพื้นที่ขนาดใหญ่ 23 ไร่ ใจกลางกรุง จึงเป็นหมุดหมายในการใช้ชีวิตใจกลางเมือง ที่ครบและจบในที่เดียว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ทุกวัยได้เป็นอย่างดี
อดใจรออีกไม่นาน กำหนดเปิดเฟสแรกประมาณปี 2566 เริ่มจากโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ ต่อด้วยศูนย์การค้าเซ็นทรัล พาร์ค และอาคารสำนักงานเซ็นทรัล พาร์ค ออฟฟิศเซส ในปี 2567 ขณะที่ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ จะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2568