ด้วยมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงกว่า 40,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ย 10 – 12% ต่อปี อีกทั้งสินค้าและบริการดูแลสัตว์ทุกวันนี้ แตกแยกย่อย Fragmentation มากมาย
ตอบรับกับปรากฏการณ์ “Pet Humanization” นั่นคือ เจ้าของสัตว์เลี้ยงไม่ได้มองว่าตัวเองคือเจ้าของ แต่เป็น “พ่อ/แม่” ของสัตว์เลี้ยงมากกว่า หรือที่เรียกว่า “Pet Parents” ดูแลเอาใจใส่เหมือนลูก พร้อมทุ่มเท ทั้งเงิน และการเลี้ยงดู ตั้งแต่อาหารการกิน ดูแลสุขภาพ หาของเล่น เสื้อผ้า จัดมุมพักผ่อน/ที่นอนในบ้าน หรือบางบ้าน ก็มีห้องให้น้องหมา – น้องแมวโดยเฉพาะ รวมทั้งพาไปไหนมาไหนด้วยทุกที่
- อ่านเพิ่มเติม : ปรากฏการณ์ “Pet Humanization” ทำไมมนุษย์ยอมเป็น “ทาสหมา – ทาสแมว” ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตมหาศาล
นี่จึงทำให้ Pet Market เป็นตลาดดาวรุ่งที่ใครๆ ก็อยากเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย, สตาร์ทอัพที่พัฒนาแพลตฟอร์มด้านสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงกลุ่มธุรกิจใหญ่
หนึ่งในนั้นคือ “เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น” (Central Retail Corporation : CRC) ได้พัฒนาแบรนด์พอร์ตโฟลิโอค้าปลีกด้านสัตว์เลี้ยง (Pet Store) โดยใช้จุดแข็งที่ถือเป็นความได้เปรียบทางการแข่งขัน นั่นคือ
– ฐานข้อมูลลูกค้า 18 ล้านสมาชิกของ The 1 ซึ่งเป็น Big Data สำคัญของกลุ่มเซ็นทรัลใช้ในการศึกษา และทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้า ความชอบ – ความต้องการของลูกค้า
– โลเคชั่นการเปิดสาขาที่สามารถไปกับธุรกิจค้าปลีกในเครือเซ็นทรัล
– โมเดลธุรกิจ Omnichannel เชื่อมต่อระหว่าง Physical Store กับ Online เข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ใหญ่ของกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล
5 เหตุผล “เซ็นทรัล” ลุยตลาดสัตว์เลี้ยง – ปั้น 3 แบรนด์ เอาใจทาสหมา และทาสแมว
ปัจจุบันกลุ่มบริษัทต่างๆ เครือกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล” ได้สร้างแบรนด์รีเทลสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ ประกอบด้วย
– “PETSTER” โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร และของใช้สำหรับสัตว์ เปิดอยู่ในเชนซูเปอร์มาร์เก็ตเครือ “ท็อปส์” ภายใต้การบริหารของ “เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล” ปัจจุบันมี 20 สาขา และเตรียมขยายให้ถึง 100 สาขา
– “Cool Pets” โซนจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร ของเล่น ของใช้สำหรับน้องหมา – น้องแมว ภายใต้การบริหารของกลุ่มห้างสรรพสินค้า เปิดในห้างเซ็นทรัล ปัจจุบันมี 7 สาขา และมีแผนขยายต่อเนื่อง
– “PET ‘N ME” เป็นแบรนด์ล่าสุดที่พัฒนารูปแบบเชนค้าปลีกเซ็กเมนต์ Specialty Store สัตว์เลี้ยงครบวงจรของเซ็นทรัล รีเทล เปิดสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา เวสต์เกต และเตรียมขยาย 50 สาขาทั่วประเทศภายใน 3 – 5 ปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ค้าปลีกในการสร้างความครบวงจรของอาณาจักรค้าปลีกเซ็นทรัล หลังจากในช่วงกว่า 20 – 30 ปีมานี้ เซ็นทรัลรีเทลได้แตกเซ็กเมนต์ค้าปลีกออกมามากมาย
- อ่านเพิ่มเติม: เปิดอาณาจักรค้าปลีก-ศูนย์การค้า “เซ็นทรัล” รุกทุกเซ็กเมนต์ “ร้านสะดวกซื้อ” ถึง “Super Regional Mall”
สำหรับเหตุผลที่ทำให้ “เซ็นทรัล รีเทล” ตัดสินใจเข้ามารุกตลาดสัตว์เลี้ยงเต็มรูปแบบ มาจาก 5 ปัจจัยหลักคือ
1. เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย คนเป็นโสดมากขึ้น คนมีลูกน้อยลง และแต่งงานช้าลง
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนทำให้คนเปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น เทียบเท่ากับสมาชิกในครอบครัว ดูแลเหมือนลูกคนหนึ่ง เลือกสิ่งที่ดีที่สุด มีการใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงค่อนข้างสูงในแต่ละเดือน
จากฐานข้อมูล The 1 พบว่า ผู้บริโภคใช้จ่ายไปกับสินค้าสำหรับสุนัข และแมว โดยเฉลี่ย 4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายด้านอาหาร
2. COVID-19 เปลี่ยนวิถีชีวิตคนหันมาใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น
COVID-19 และมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้วิถีชีวิตคนเปลี่ยน ต้องใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น และเดินทางออกนอกบ้านเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้บ้านกลายเป็นสถานที่ทุกอย่าง หรือที่เรียกว่า Home Nesting เนรมิตบ้านให้เป็นทั้งออฟฟิศ, ห้องเรียน, คาเฟ่ขนาดเล็กๆ, ยิมออกกำลังกายขนาดย่อม และหากิจกรรมต่างๆ ทำ เช่น ทำอาหาร, ปลูกต้นไม้-ผัก, ตกแต่ง-ปรับปรุงบ้าน รวมถึงหาสัตว์เลี้ยง มาเลี้ยง เป็นทั้งเพื่อน ทั้งลูก
3. ยอดการจำหน่ายสินค้าสัตว์เลี้ยงในกลุ่มเซ็นทรัล รีเทล มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทั้งช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ต และดีพาร์ทเมนต์สโตร์
4. ตลาดสัตว์เลี้ยงที่มีขนาดใหญ่กว่า 40,000 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่องกว่าปีละ 10%
มูลค่าตลาดรวมกว่า 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็น
– อาหารสัตว์ 70%
– บริการ และการรักษา 20 – 30%
– แฟชั่น และสินค้าไลฟ์สไตล์ 5%
ปัจจุบันในตลาดรวมสัตว์เลี้ยง ยังมีแต่ผู้เล่นรายย่อย และไม่มีผู้เล่นรายใดเป็นผู้นำตลาดอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้น “เซ็นทรัล รีเทล” มองเห็นโอกาสที่จะปักธงความเป็นผู้นำตลาดสัตว์เลี้ยงครบวงจร
5. การขยายตัวของแพลตฟอร์มออนไลน์
นอกจากการเพิ่มขึ้นของ Pet Store แล้ว ขณะเดียวกันการขยายตัวของแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น e-Commerce มี และ Telemedicine ทำให้คนเข้าถึงสินค้าและบริการได้มากขึ้น เช่น ร้านจำหน่ยสินค้าสัตว์เลี้ยงทางออนไลน์, แพลตฟอร์มให้บริการด้านการดูแลรักษาสำหรับสัตว์เลี้ยงกับแพทย์
“PET ‘N ME” Specialty Store สัตว์เลี้ยงครบวงจร “อาหาร – แฟชั่น – สปา – โรงเรียนฝึกสอน – Pet Park” ตั้งเป้ายอดขาย 1,000 ล้านบาท
แบรนด์ล่าสุดที่เซ็นทรัล รีเทล ปลุกปั้นสำหรับทำตลาดสัตว์เลี้ยง คือ “PET ‘N ME” (เพ็ทแอนด์มี) ด้วยโมเดลธุรกิจ “Omnichannel Pet Shop” คือ เชื่อมต่อทั้งร้านค้ารูปแบบ Physical Store และช่องทาง Online ที่นำเสนอสินค้าและบริการสัตว์เลี้ยงครบวงจรเข้าด้วยกัน
สำหรับร้านรูปแบบ Physical Store วางแผนภายใน 3 – 5 ปีนี้ ตั้งเป้าเปิด 50 สาขา หรือโดยเฉลี่ยเปิด 8 – 12 สาขาต่อปี ใน 4 คอนเซ็ปต์ร้านคือ
– ร้านขนาดเล็ก 100 – 150 ตารางเมตร จำนวน 25 – 30 สาขา
– ร้านขนาดกลาง 300 – 400 ตารางเมตร จำนวน 10 – 15 สาขา
– ร้านขนาดใหญ่ 600 – 700 ตารางเมตร จำนวน 8 สาขา
– Flagship Store 1,000 ตารางเมตร จำนวน 2 สาขา คาดว่าจะมีที่กรุงเทพฯ 1 สาขา และภูเก็ต 1 สาขา
กลยุทธ์ “PET ‘N ME” (เพ็ทแอนด์มี) เน้นสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้จากหลากหลายช่องทาง (Omnichannel) เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและทำให้ทุกการช้อปปิ้งสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยงเป็นเรื่องง่าย โดยสินค้าและบริการหลักๆ ประกอบด้วย
– สินค้าสัตว์เลี้ยงกว่า 6,000 รายการที่สาขา และกว่า 10,000 รายการในช่องทางออนไลน์ ครอบคลุมทั้งหมวดของใช้ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดัง เช่น เสื้อผ้า ที่นอน แก็ตเจ็ตและอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอาหารและขนม เสริมทางเลือกเน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติตอบโจทย์สุขภาพที่ดีของสัตว์เลี้ยง ให้ตรงกับสายพันธ์และวัย หรืออาหารเฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีโรคประจำตัวที่แนะนำโดยสัตวแพทย์
– บริการรูปแบบใหม่ ได้แก่ Click and Collect บริการสั่งจองสินค้าทางออนไลน์และรับสินค้าที่จุดบริการที่ต้องการ ระบบสั่งซื้อสินค้า E-Ordering เพื่อสั่งซื้อสินค้าที่ไม่มีสต็อกหน้าร้าน และ บริการ Subscription ที่จัดส่งสินค้า เช่น อาหาร เป็นประจำรายเดือนให้สมาชิก
รวมถึงบริการ Pet Guru Service ที่พร้อมให้บริการกับลูกค้า พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ แนะนำเรื่องสัตว์เลี้ยงจนไปถึงเป็นผู้ช่วยช้อปปิ้งส่วนตัวที่จะช่วยเลือกซื้อสินค้าสำหรับสัตว์เลี้ยงให้กับลูกค้า
– บริการตรวจเช็คสุขภาพ อาบน้ำ ตัดขน และ สปา สำหรับ สุนัขและแมว จากทีมสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
– Pet Park (เพ็ทพาร์ค) พื้นที่สวนให้บริการสำหรับทุกคนพาสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่นได้ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ
– คาเฟ่บรรยากาศโดนๆ จากอาริกาโตะ (Arigato) ให้บริการเครื่องดื่มและอาหารทานเล่น
ทั้งนี้ แต่ละสาขา แต่ละ Store Format จะนำเสนอสินค้าและบริการแตกต่างกัน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในย่านนั้นๆ เช่น ร้านขนาดเล็ก มีสินค้า – บริการ Grooming และ Café
ขณะที่ร้านขนาดใหญ่ และ Flagship Store จะมีความครบวงจร เช่น บริการ Pet Wellness Center, โรงเรียนฝึกสุนัข (Training Center), โรงแรมสัตว์เลี้ยง (Pet Hotel)
ในส่วนบริการด้านสัตว์เลี้ยง PET ‘N ME ใช้โมเดล “จับมือ” กับพันธมิตรธุรกิจผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการในด้านนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น
– โรงพยาบาลสัตว์
– สถานที่รับฝากสัตว์เลี้ยง
– Training Center ฝึกสุนัข ที่จะเตรียมเปิดให้บริการในปี 2565
– บริการประกันสัตว์เลี้ยง
อย่างภายในสาขาเซ็นทรัล เวสต์เกต มีโซนดูแลและรักษาสัตว์ ให้บริการโดย “HATO Pet Wellness Center” มีทั้งบริการตัดแต่งขน, สปา, การรักษาสัตว์เบื้องต้น ที่ยังไม่ต้อง admit หรือบริการ “Training Center ฝึกสุนัข” ที่จะเปิดปีหน้า จับมือกับโรงเรียนฝึกสุนัข
“80 – 90% ของสาขา PET ‘N ME จะอยู่ในศูนย์การค้า หรือติดกับศูนย์การค้า ทั้งของเซ็นทรัลพัฒนา, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ และใน Community Mall ที่เซ็นทรัลพัฒนาซื้อกิจการจากสยามฟิวเจอร์ดีเวลลอปเมนท์ (SF)
ที่ผ่านมาทางศูนย์การค้าในกลุ่มเซ็นทรัล กรุ๊ป ก็เล็งเห็นการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยง จึงได้ออกแบบศูนย์การค้าให้มีทั้งผสมผสานระหว่างพื้นที่ Outdoor และ Indoor มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าสามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาได้ เช่น เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ และ เซ็นทรัล ศรีราชา ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Semi-Outdoor Experience” และ “Pet Friendly” ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้ เอื้อให้เราเปิดร้านสัตว์เลี้ยง
ขณะเดียวกันในช่องทางออนไลน์ ไม่ใช่แค่เว็บไซต์ขายสินค้าเท่านั้น แต่ในปีหน้าจะพัฒนา Community Platform ให้คนเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์มากขึ้น มาพูดคุยกับหมอ พูดคุยกับคนรักสัตว์เลี้ยงเหมือนกัน เป้าหมายเพื่อพัฒนาเป็นแพลตฟอร์มสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง ได้คุยกัน สอบถาม ขอคำปรึกษา – คำแนะนำกันได้ โดยเราตั้งเป้ายอดขายภายในปีแรก 1,000 ล้านบาท” คุณไท จิราธิวัฒน์ รองประธานฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ เซ็นทรัล รีเทล สรุปทิ้งท้าย