HomeBrand Move !!“เซ็นทรัล วิลเลจ” เตรียมเปิดเฟสสอง 28 ม.ค. 65 เพิ่มแบรนด์ญี่ปุ่น – ลุยสร้างสาขาใหม่ ในจังหวัดท่องเที่ยว

“เซ็นทรัล วิลเลจ” เตรียมเปิดเฟสสอง 28 ม.ค. 65 เพิ่มแบรนด์ญี่ปุ่น – ลุยสร้างสาขาใหม่ ในจังหวัดท่องเที่ยว

แชร์ :

Central Village

หลังจาก “เซ็นทรัลพัฒนา” เปิดตัว “เซ็นทรัล วิลเลจ” (Central Village) เป็น Luxury Outlet ในเดือนสิงหาคม 2562 ต่อมาได้จับมือร่วมทุนกับ “มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์)” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของมิตซูบิชิ เอสเตท ภายใต้บริษัท ซีพีเอ็น วิลเลจ จำกัด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายร่วมกันบุกตลาด Luxury Outlet

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ในฝั่ง “มิตซูบิชิ เอสเตท เป็นทั้งบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้เล่นหลักของตลาด Outlet ในญี่ปุ่น (ในญี่ปุ่นร่วมทุนกับ Simon Property Group) เปิดให้บริการ 9 สาขา เช่น Gotemba Premium Outlets, Sendai-Izumi Premium Outlets จึงมีประสบการณ์ และองค์ความรู้ด้านการบริหาร Outlet Mall รวมทั้งการนำแบรนด์ระดับโลก และแบรนด์ชั้นนำจากญี่ปุ่น มานำเสนอให้กับผู้บริโภคไทย

ขณะที่ฝั่ง “เซ็นทรัลพัฒนา” มีประสบการณ์ และความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ในรูปแบบ Mixed-use Project และมีความเชี่ยวชาญในการสร้างโครงการให้เป็น Lifestyle Destination ให้กับลูกค้ากลุ่มต่างๆ

ล่าสุดหลังจากเปิด “เซ็นทรัล วิลเลจ” เฟสแรกไปแล้ว เตรียมเปิดเฟสองในวันที่ 28 มกราคม 2565 ตามแผนที่วางไว้ และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนา Luxury Outlet แห่งใหม่ในจังหวัดท่องเที่ยว

Central-Village

คุณชาติ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ฉายภาพความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจในเฟสแรกว่า ในวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) มีลูกค้า 75,000 คน และมียอด Occupancy Rate 99% มาตลอด และหลังคลายล็อกดาวน์ มียอด Transaction เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14% (เปรียบเทียบปี 2020 กับปี 2021) อีกทั้งบริการ Chat & Shop ของเซ็นทรัลวิลเลจ มียอดขายสูงสุดในกลุ่มศูนย์การค้าเซ็นทรัลพัฒนาในช่วง COVID-19 เป็นผลมาจากการทำ Live Streaming แสดงให้เห็นว่าสินค้าใน Luxury Outlet ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคไทย

รวมทั้งเซ็นทรัลพัฒนามีศูนย์การค้าทั่วประเทศ สามารถใช้เป็นจุดส่งต่อสินค้าเพื่อให้บริการ Cross Border จึงทำให้ได้ฐานลูกค้าในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMV และมาเลเซีย โดยต่อไปเซ็นทรัล วิลเลจจะบุกตลาดนี้มากขึ้น

“การจับมือกับพาร์ทเนอร์ “มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์)” เป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญที่ทำให้เราก้าวได้ไกลกว่า Outlet ที่มีในไทย โดยเซ็นทรัลพัฒนา มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่เป็น Destination Landmark และเจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ซึ่งเป็นฐานลูกค้าของเซ็นทรัลที่ตอนนี้มี 36 สาขาในประเทศ​และต่างประเทศ ผ่านช่องทาง Intensive Omnichannel ขณะที่มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีประสบการณ์ในการพัฒนา Outlet ชื่อดังในเอเชีย ทำให้เซ็นทรัล วิลเลจ เป็น Luxury Outlet ที่มีศักยภาพ และมาตรฐานไม่แพ้ Outlet อื่นของโลก”   

Central Village

คุณชาติ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)

 

5 ไฮไลต์ “เซ็นทรัล วิลเลจ เฟสสอง

สำหรับไฮไลต์น่าสนใจของ “เซ็นทรัล วิลเลจ เฟสสอง” ประกอบด้วย

1. สร้าง 4 หมู่บ้านไทยร่วมสมัย ดึงลูกค้าเข้ามาช้อป

เซ็นทรัล วิลเลจ เฟสสอง ยังคงมีดีไซน์ต่อเนื่องกับเฟสแรกกับเอกลักษณ์ “Thai Modern” โดยได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมไทย นำเสนอในรูปแบบหมู่บ้านไทยร่วมสมัย 4 หมู่บ้านคือ

– หมู่บ้านช่างทอ (Textile Village) โดดเด่นด้วยลายเส้นผ้าทอของไทย

– หมู่บ้านช่างก่อ (Brick Village) กับการก่ออิฐเป็นแพทเทิร์นที่แปลกตา

– หมู่บ้านช่างลายคราม (Porcelain Village) นำความสวยงามของเครื่องลายครามมาออกแบบให้มีลูกเล่น

– หมู่บ้านช่างเงินช่างทอง (Goldsmith Village) กับลวดลายสีเงินสีทองสื่อถึงความหรูหราและความประณีตท่ามกลางบรรยากาศแบบ Outdoor Experience ที่ร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียว ทางเดินมีหลังคาที่กว้างขึ้นทำให้ช้อปปิ้งได้สะดวกมากขึ้น มีความใกล้ชิดธรรมชาติด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ทั้งน้ำพุ บ้านต้นไม้ ภูเขา และจุดถ่ายรูปไฮไลท์ Instagrammable Landmarks รวมถึงมีการจัดอีเว้นท์ งานอาร์ต ศิลปะร่วมสมัย ที่หมุนเวียนตลอดทั้งปี

Central-Village

2. การขยายเฟส 2 จะทำให้ในเซ็นทรัล วิลเลจ มีแบรนด์รวมกันกว่า 300 แบรนด์ครบทุก Tier

คุณโทโมฮิโกะ เองูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์) บอกว่า Luxury Outlet ขนาดใหญ่ในต่างประเทศ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีแบรนด์อยู่ที่ 250 แบรนด์ แต่สำหรับเซ็นทรัล วิลเลจ มีแบรนด์มากกว่า อย่างไรก็ตามขนาดพื้นที่ของแต่ละช้อป อาจเล็กกว่าช้อปใน Luxury Outlet ที่ ต่างประเทศ

3. เพิ่มแบรนด์ญี่ปุ่นในหมวดสินค้าต่างๆ

เช่น สินค้ากีฬาที่เจาะลึก ทั้งกอล์ฟ และวิ่ง สินค้า Home & Living เครื่องครัว ของเล่นเด็ก และเสื้อผ้า โดยในช่วงแรกของการเปิดเฟส 2 สัดส่วนแบรนด์ญี่ปุ่นอยู่ที่ 15 – 20% ของจำนวนแบรนด์ทั้งหมด และต่อไปจะเพิ่มมากขึ้น เพื่อดึงทั้งลูกค้าไทยที่ชื่นชอบและรักในความเป็นญี่ปุ่น และชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในไทย พร้อมกับเพิ่มแบรนด์ชั้นนำในไทย และแบรนด์จากหลากหลายประเทศ

“การขยายโครงการเฟสสอง ทางมิตซูบิชิฯ เตรียมแผนที่จะดึงดูดแบรนด์คู่ค้าญี่ปุ่นมากขึ้น ที่มาพร้อมด้วยจุดเด่นของการให้บริการแบบญี่ปุ่นที่เหนือความคาดหมายเสมอ เพื่อมอบทั้งความสนุกและความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้าไทย และชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กำลังกลับเข้ามาเที่ยวไทย” คุณโทโมฮิโกะ เองูจิ ขยายความเพิ่มเติม

Central Village

คุณโทโมฮิโกะ เองูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์)

4. ขยายฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงต่อเนื่อง เพื่อเป็น Destination ทุกเซ็กเมนต์ 

กลุ่มลูกค้าของเซ็นทรัล วิลเลจ เป็นกลุ่มมีกำลังซื้อสูง และข้าม Catchment โดยกว่า 70% มาจากลูกค้ากรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งยังมีลูกค้าประจำที่อยู่รอบศูนย์ฯ เนื่องจากในโซนนี้มีโรงเรียนอินเตอร์ หมู่บ้านระดับกลาง ถึงไฮเอนด์ และลูกค้าจากจังหวัดใกล้ เช่น ชลบุรี

การพัฒนาเฟสสอง นอกจากเติมเต็มความครบวงจรของการเป็น Lifestyle Destination แล้ว เพื่อขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อใน 3 เซ็กเมนต์คือ

กลุ่ม Family ด้วยกลยุทธ์เพิ่มแบรนด์สินค้าและบริการญี่ปุ่น จะช่วยขยายฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวได้มาใช้บริการเซ็นทรัล วิลเลจมากขึ้น รวมทั้งมีสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่แบบ Full-scale playground มี Pet Park สร้างคอมมูนิตี้คนรักสัตว์ และร้านชา-กาแฟสไตล์ญี่ปุ่น

กลุ่ม Wealth เจาะกลุ่ม High spender จัดกิจกรรม Supercar meeting ทุกสัปดาห์ และสามารถ Targeting กลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงของศูนย์การค้าเซ็นทรัลในสาขาอื่นๆ ทั่วประเทศมาต่อยอดทำ CRM Marketing ได้อย่างตรงจุด

กลุ่ม Sport Lifestyle ทำให้โครงการกลายเป็น Sport Destination มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเล่นกีฬา เล่น Skateboard ดังนั้นเราจึงเติมเต็มด้วยแบรนด์ใหม่ๆ อาทิ Rev-Runner ร้านรองเท้าวิ่ง และอุปกรณ์วิ่งโดยเฉพาะ Columbia อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง จักรยาน กอล์ฟ วิ่ง และลาน Skate park

Central Village

“แม้ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จะประสบกับปัญหานักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยไม่ได้ แต่เซ็นทรัล วิลเลจยังสามารถดึงลูกค้าคนไทยเข้ามาได้ ทั้งจากผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในย่านบางนา กรุงเทพฯ ในโซนต่างๆ โดยเราเอา Database มาวิเคราะห์ และทำ CRM และสื่อสารการตลาด เพื่อสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง  

การขยายฐานลูกค้ากำลังซื้อสูง เนื่องจากเรามองเห็นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคกลุ่ม Young Affluence ดังจะเห็นได้จากแม้จะเกิดสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลก แต่สินค้า Luxury ยังขายดีทั่วโลก และมีการเติบโตสูงมาก นั่นหมายถึงว่า Middle Class ทั่วโลกยังมีความต้องการสินค้ากลุ่มนี้” ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดของเซ็นทรัลพัฒนา เล่าถึงการเจาะกลุ่มเป้าหมายเซ็นทรัล วิลเลจ

Central Village

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดของเซ็นทรัลพัฒนา

5. สร้าง Festive Vibes ตลอดทั้งปี และเติม Food Destination

นอกจากการนำเสนอแบรนด์สินค้าและบริการต่างๆ แล้ว ยังได้ครีเอท “อีเว้นท์” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการ “ดึง” คนมาใช้เวลา และใช้จ่าย เพื่อสร้างประสบการณ์ให้เป็นมากกกว่าการมาช้อปปิ้งที่ Outlet นอกจากนี้ในเฟสสอง ยังเติม Magnet อีกมาก เช่น

– รวมร้านอาหารดังไว้มากมาย เพื่อสร้างให้เป็น Food Destination

– เตรียมพบกับ “ตรอกญี่ปุ่น” ที่คนชื่นชอบอาหารญี่ปุ่นต้องไม่พลาด

– จุด Attraction landmark อาทิ ลานน้ำพุขนาดใหญ่ ภายใต้การตกแต่งสถาปัตยกรรมแบบ Thai heritage และร่มรื่นด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด

และในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ เตรียมเนรมิตต้นคริสต์มาสยักษ์กลางลานน้ำพุ ตระการตากับการประดับไฟทั่วทั้งพื้นที่ สร้าง Festive Vibes ฉลองสิ้นปีไม่แพ้บรรยากาศเอาท์เล็ตเมืองนอก เพื่อส่งพลังความสุข Forwarding Happiness 2022 ให้กับทุกคน พร้อมจุด Instagrammable Photo Landmark สีสันสดใสทั่วทั้งศูนย์ฯ

Central Village

 

วางแผนสร้าง “Luxury Outlet” แห่งใหม่ ในเมืองท่องเที่ยว

ตามยุทธศาสตร์ของเซ็นทรัลพัฒนาในการปลุกปั้นโครงการ Luxury Outlet “เซ็นทรัล วิลเลจ” จะไม่ได้มีแค่สาขาเดียวเท่านั้น หากแต่มีแผนเดินหน้าขยายแห่งใหม่เพิ่มเติม

คุณชาติ เผยรายละเอียดว่า ขณะนี้กำลังศึกษาการสร้าง Luxury Outlet สาขาใหม่ โดยตามแผนมองไปที่จังหวัด หรือเมืองที่เป็น Tourist Destination อยู่ใน 3 ภูมิภาคคือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก เพื่อรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทย และนักท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยคาดว่าภายในไม่เกิน 2 ปีจากนี้ จะได้เห็นสาขา 2

การเปิด Luxury Outlet แห่งใหม่ ไม่เพียงแต่รองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังรองรับแนวโน้ม Urbanization ในไทย ที่ทุกวันนี้ความเป็นเมืองขยายตัวไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็ว ทำให้ไลฟ์สไตล์ กำลังซื้อ การกินการใช้ต่างๆ การอัพเดทและเปิดรับเทรนด์ใหม่ของผู้บริโภค ไม่แตกต่างจากคนกรุงเทพฯ

Central Village


แชร์ :

You may also like